นายวิจิตร เจียมวิจิตรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร บมจ.ทุ่งคาฮาร์เบอร์ (THL) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะสามารถกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงปลางปี 60 หลังจากบริษัทได้แต่งตั้งบริษัท ดิสคัฟเวอร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาให้ความช่วยเหลือประสานงานและดำเนินการ เนื่องจากบริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการในปีนี้จะกลับมามีกำไรอย่างแน่นอน หลังจาก 9 เดือนแรกมีผลกำไรแล้ว ซึ่งผลงานที่ดีขึ้นส่วนใหญ่มาจากปริมาณการขายแร่ดีบุกและยอดขายหินที่เพิ่มสูงขึ้น
THL แจ้งผลประกอบการไตร 3/60 มีรายได้จากการขายรวม 84.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 270% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ พลิกมีกำไร 20.81 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกมีรายได้ 257.53 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับรายได้ของทั้งปี 59 และพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิ 42.48 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลประกอบการของปี 59 ที่ขาดทุน 211.62 ล้านบาท
สำหรับปี 61 บริษัทคาดหวังรายได้จะสูงขึ้นไปแตะ 1,000 ล้านบาท หากสามารถรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ที่จะเปิดตัวช่วงต้นปีหน้าได้ทันภายในปลายปี โดยสัดส่วนรายได้ในปีหน้าจะมาจากธุรกิจเหมือง 70% พลังงานทดแทน 20% และส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 10%
"บริษัทยังคงมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเหมืองแร่ในต่างประเทศ ทั้งในเมียนมาและลาว ขณะนี้ รัฐบาลทั้งสองประเทศ มีนโยบายเรียกคืนประทานบัตรจากผู้ประกอบการเดิมที่ไม่ดำเนินการผลิต ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัท ทำให้มีโอกาสในการลงทุนมากขึ้น ส่วนธุรกิจเหมืองแร่ในประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างรอความชัดเจนนโยบายของภาครัฐ ส่วนธุรกิจเหมืองหินยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และระบบขนส่งทางราง"นายวิจิตร กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้โครงการ The Bay Phase 1 และ โครงการ The Bay District โดยทั้ง 2 โครงการมียอดโอนมากกว่า 60% ซึ่งจะเร่งทยอยโอนให้แล้วเสร็จ และเตรียมพื้นที่เพื่อขยายโครงการ The Bay Phase 2 โดยเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบในช่วงไตรมาส 1/60 บนพื้นที่ 14 ไร่ใน จ.ภูเก็ต โดยมีมูลค่าโครงการเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 500-700 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจเหมืองแร่ บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายหินเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนตันในปี 61 จากปีนี้คาดว่ายอดขายจะทำลุเป้าหมายที่ที่ 2.7 แสนตัน เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาแล้ว 5 แสนตันที่จะทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้า โดยความต้องการหินที่เพิ่มขึ้นหลักๆ มาจากนโยบายการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่
นายวิจิตร เปิดเผยอีกว่า บริษัทตัดสินใจเพิ่มงบลงทุนเหมืองดีบุก 2 แห่งในเมียนมาเป็นไม่เกินแห่งละ 150 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะลงทุนแห่งละ 30-40 ล้านบาท เนื่องจากหลังจากที่บริษัทได้ลงพื้นที่สำรวจจริงแล้วพบว่ามีปริมาณแร่สำรองสูงกว่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้น และใบสัมปทานได้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเกาะด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการเข้าลงทุน
ขณะที่แนวโน้มอุตสาหรรมเหมืองแร่ในประเทศไทยนั้นยังคงต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาล รวมไปถึงกฎหมายที่รองรับการทำเหมืองแร่ อีกทั้งโครงการต่าง ๆ ที่ภาครัฐเปิดประมูลทั้งระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ และ ระบบคมนาคม ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ความต้องการใช้แร่ต่าง ๆ มากขึ้น บริษัทจึงคาดว่าจะมียอดขายเติบโตตามไปด้วย
นายวิจิตร กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจไฟฟ้าว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเข้าลงทุนร่วมกับพันธมิตรในโครงการโซลาร์ฟาร์มที่เมียนมา กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ และโซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/60 โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะถือหุ้นในส่วนไม่ต่ำกว่า 50% นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างเจรจาอีกหลายโครงการ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์มร่วมกับสหกรณ์การเกษตรพูนสุข จำกัด จังหวัดชุมพร โดยได้รับสิทธิขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 5 เมกะวัตต์ ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่เตรียมลงทุนโรงไฟฟ้าขยะขนาด 6 เมกะวัตต์