โบรกฯแนะ"ซื้อ"PTT คาดกำไร Q4/60 ฟื้นตัวหลังโรงแยกก๊าซฯกลับมาเดินเครื่องปกติ,ราคาน้ำมันสูงหนุน stock gain

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 22, 2017 14:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปตท.(PTT) มองแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/60 ฟื้นจากไตรมาส 3/60 ที่ชะลอตัวลงจากการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ขณะที่ในไตรมาสสุดท้ายของปีธุรกิจโรงแยกก๊าซฯแห่งที่ 5 และ 6 กลับมาผลิตตามปกติหลังปิดซ่อมบำรุงตามแผน ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบยังยืนที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลส่งผลมีโอกาสกำไรสต็อกน้ำมัน (stock gain) แม้ค่าการกลั่นอาจอ่อนตัวเล็กน้อย แต่ความต้องการใช้มากในช่วงฤดูหนาวและท่องเที่ยว น่าจะผลักดันค่าการกลั่นยืนอยู่ในระดับสูงได้ หนุนผลกำไรปีนี้กลับมาทะลุ 1 แสนล้านบาทได้อีกครั้งหลังจากเคยทำได้ในปี 54-55

นอกจากนี้โบรกเกอร์อย่างน้อย 2 แห่งปรับเพิ่มประมาณการกำไร PTT ปี 60 และ 61 หลังจากช่วง 9 เดือนแรกปีนี้กำไรแล้ว 9.98 หมื่นล้านบาท จากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีทำได้สูงกว่าคาดมาก ขณะที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นเป็นบวก นอกจากนี้การเตรียมนำ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (PTTOR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นปี 62 เป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้นให้ PTT ในอนาคต

ราคาหุ้น PTT พักเที่ยงอยู่ที่ 416 บาท เพิ่มขึ้น 0.48% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.59%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ                ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ                ซื้อ                        477
          แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์                ซื้อ                        470
          ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)           ซื้อ                        475
          หยวนต้า (ประเทศไทย)            ซื้อ                        482
          ธนชาต                         ซื้อ                        450
          ไอร่า                          ซื้อ                        496
          เอเซีย พลัส                     ซื้อ                        500
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ทยอยซื้อ                      456
          เอเอสแอล                    เก็งกำไร                     440

นายศักดิ์นรินทร์ ศศานนท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ PTT ในไตรมาส 4/60 คาดว่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 3/60 ที่มีกำไรสุทธิ 2.23 หมื่นล้านบาท ซึ่งชะลอตัวลงจากผลกระทบการที่ PTTEP ตั้งด้อยค่าสินทรัพย์จำนวนมาก ขณะที่ปัจจัยธุรกิจของ PTTEP จะกลับมาเป็นปกติ และธุรกิจก๊าซธรรมชาติของ PTT ก็จะดีขึ้นจากการที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 5 และ 6 ที่หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาสที่ผ่านมากลับมาเดินเครื่องตามปกติ

นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวขึ้นมายืนอยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปลายเดือน ก.ย.มีโอกาสที่ PTT รวมถึงธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีก็จะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน ซึ่งจะเข้ามาช่วยชดเชยค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงมาที่ราว 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากกว่า 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงไตรมาส 3/60 ที่ซัพพลายตึงตัวหลังเกิดพายุเฮอร์ริเคนหลายลูกกระทบต่อกำลังการกลั่น อย่างไรก็ตามแม้ค่าการกลั่นจะอ่อนตัวลง แต่การที่ยังยืนเหนือ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นระดับที่ดีจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวและช่วงฤดูการท่องเที่ยว

ขณะที่การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ก็จะยังเป็นผลบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันด้วย แม้ตลาดจะรับรู้ไปบางส่วนว่าโอเปกจะขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตออกไปอีกจากเดิมจะสิ้นสุดในเดือนมี.ค.61

"ปีนี้ประเมินกำไรของ PTT เกินระดับ 1.1 แสนล้านบาท เพราะช่วง 9 เดือนแรกก็ทำได้ไปแล้ว 9.9 หมื่นล้านบาท และในไตรมาสนี้ก็จะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น SPRC เข้ามาด้วย...ส่วนปีหน้าราคาน้ำมันน่าจะแกว่งอยู่แถวๆ 55-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะส่งผลดีต่อ PTT ด้วย"นายศักดิ์นรินทร์ กล่าว

ด้านบทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่าตามที่ PTT แจ้งการขายหุ้นบมจ.สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) ในส่วนที่เหลือทั้งหมด 5.41% เมื่อสัปดาห์ก่อน คาดว่า PTT จะบันทึกกำไรจากการขายหุ้น SPRC ในไตรมาส 4/60 ราว 1.83 พันล้านบาท หากคำนวณจากต้นทุนเบื้องต้นที่ 8 บาท/หุ้น จะกำไรคิดเป็น 0.65 บาท/หุ้น และคิดเป็นสัดส่วนกำไรไตรมาส 4/60 ประมาณ 6-7% ซึ่งมีนัยเมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานขณะที่ผู้ถือหุ้นยังมีลุ้นรับปันผลเพิ่มขึ้นด้วย

บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ PTT ในไตรมาส 4/60 ต่อเนื่องถึงปี 61 จะได้แรงหนุนจากธุรกิจหลักก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวดีขึ้น ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้นหลังโรงแยกก๊าซฯ แห่งที่ 5 และ 6 กลับมาผลิตได้ตามปกติ ขณะที่ไม่มีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของ PTTEP รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกที่ยังอยู่ระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบ ดูไบ ในช่วงไตรมาส 4/60 จะอยู่ที่ราว 57 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 60 จะอยู่ที่ 52 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และเพิ่มเป็นเฉลี่ย 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปี 61 ซึ่งเป็นบวกต่อผลประกอบการ PTT

ทั้งนี้ ปรับเพิ่มประมาณการปี 60-61 เพิ่มขึ้น 23-20% เป็นราว 1.2-1.23 แสนล้านบาท ตามลำดับจากผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกปี 60 ที่แข็งแกร่ง ทั้งกำไรของ PTT และธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ที่มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (Spread margin) ที่ดีกว่าคาด

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันเป็นบวกกับ PTT เนื่องจากช่วงราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลงที่ผ่านมา ถูกชดเชยจากการปรับโครงสร้างราคาปิโตรเลียมเหลว (LPG) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ของอุตสาหกรรมไปแล้ว การเติบโตของธุรกิจต้นน้ำตามราคาน้ำมันในครั้งนี้จะผลักดันให้ฐานกำไรของ PTT เพิ่มขึ้นเป็นอีกระดับได้ ทั้งนี้ ปรับประมาณการกำไรของ PTT ในปี 60 และ 61 ขึ้น 32.3% และ 19% เป็น 1.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.3% เมื่อเทียบปีต่อปี และ 1.24 แสนล้านบาท ลดลง 1.2% เมื่อเทียบปีต่อปี เป็นผลของกำไรของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ที่สูงกว่าที่คาดมาก

ขณะที่ยังจะได้รับผลบวกจากการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคต เพราะปัจจุบันธุรกิจการตลาดถูกนับรวมเป็นมูลค่าของหุ้น PTT ด้วย PER ต่ำเพียง 10-11 เท่า เมื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชานทั่วไปครั้งแรก (IPO) มูลค่าของธุรกิจดังกล่าวจะถูก re-rate สูงขึ้นเทียบเท่ากับ PER ของกลุ่มค้าปลีกและสถานีบริการน้ำมัน โดยประเมินมูลค่าของ PTTOR เบื้องต้นด้วย PER ช่วง 20-25 เท่าใกล้เคียงกับกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่ ช่วยเพิ่ม Upside ให้กับราคาเหมาะสมของ PTT ได้ราว 50-75 บาทต่อหุ้น

บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากการเข้าฟังผู้บริหาร PTT พูดในงาน Analyst Meeting เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประเด็นที่ติดตามอย่างต่อเนื่องคือ การนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุดมีความเป็นไปได้ที่กระบวนการจะล่าช้าจากเดิมที่เคยกำหนดต้นปี 61 แต่เร็วที่สุดคาดว่าจะเป็นปลายปี 61 หรือเป็นไปได้ที่จะเลื่อนไปเป็นปี 62 ซึ่งอาจผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนระยะสั้น เพราะในช่วงที่ผ่านมา Consensus ประเมินว่า PTT จะมี Upside จากการนำ PTTOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยก่อนหน้านี้ประเมินมูลค่าเพิ่มจากกรณีดังกล่าวไว้ที่ 30-40 บาท/หุ้น จากมูลค่าเหมาะสมปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ