นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai จำนวน 141 บริษัท จากทั้งหมด 145 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2560 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 พบว่า บจ. มีกำไรสุทธิจำนวน 98 บริษัท คิดเป็น 69.50% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยมียอดขายรวม 40,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.99% ต้นทุนรวม 31,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.33% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 24.20% เป็น 22.65% ส่วนกำไรสุทธิรวม 594 ล้านบาท ลดลง 56.72% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
“ผลการดำเนินงานของ บจ. mai ไตรมาสนี้ ยังพบการเติบโตของยอดขาย แต่มีต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงบาง บจ. มีบันทึกขาดทุนจากรายการพิเศษ ทำให้กำไรสุทธิรวมลดลง หากไม่นับรวมรายการพิเศษดังกล่าว พบว่ากำไรสุทธิยังเติบโตอยู่ที่ 8.16% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เมื่อพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า 7 ใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งในจำนวนนี้มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิรวมเติบโตขึ้นด้วย ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดย 5 บจ. ที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาสนี้ คือ บมจ. บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) , บมจ. ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส (FSMART) , บมจ. เอสจีเอฟ แคปปิตอล (SGF) , บมจ. 2 เอส เมทัล (2S) และ บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) ตามลำดับ" นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก บจ. mai มียอดขายรวม 114,399 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.12% ต้นทุนขายรวม 88,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.09% อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 24.29% เป็น 22.96% กำไรสุทธิรวม 2,920 ล้านบาท ลดลง 34.37%
หากพิจารณาโครงสร้างเงินทุนรวมของ บจ. mai พบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio อยู่ในระดับ 1.03 เท่า ในขณะที่สิ้นปี 2559 อยู่ในระดับ 1.07 เท่า
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 145 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 562.36 จุด ลดลง 8.75% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 338,518 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 2,366 ล้านบาทต่อวัน