หุ้น TRUE ราคาวิ่งขึ้น 3.54% มาอยู่ที่ 5.85 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 144.01 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.01 น. โดยเปิดตลาดที่ 5.80 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.85 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 5.75 บาท
นายสมิทธิ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ ผู้บริหารกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (DIF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหน่วย DIF ได้อนุมัติการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ของกลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) จำนวนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์ของ DIF อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท
ในวันนี้จะมีการลงนามซื้อขายกับกลุ่ม TRUE ในงวดแรกที่จะเข้าลงทุนสินทรัพย์ จำนวนประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนงวดที่สอง จำนวนประมาณ 5 หมื่นล้านบาท จะดำเนินการในไตรมาส 2/61 โดยเป็นการลงทุนเสาโทรคมนาคม และโครงข่ายไฟเบอร์ จะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุน DIF เพิ่มมาเป็น 1.6 แสนล้านบาท
"ผู้ถือหน่วยลงมติอนุมัติกว่า 93% ก่อนที่จะเชิญประชุมผู้ถือหน่วย ทางกองทุนเห็นแล้วว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มจะดีกับกองทุนกับผู้ถือหน่วย กองทุนเห็นว่าอายุสัญญาได้ยาวขึ้น มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น และ ได้เงินปันผลเยอะขึ้น" นายสมิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าจากการเข้าลงทุนในงวดแรกภายในเดือน พ.ย.นี้ กองทุน DIF จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอีก 0.03 บาท/หน่วย จากเดิม 0.98 บาท/หน่วย มาเป็น 1.01 บาท/หน่วย และลงทุนงวดที่ 2 คาดจะจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีก 0.03 บาท/หน่วย มาเป็น 1.04 บาท/หน่วย ทั้งนี้ คาดว่าอัตราผลตอบแทน(Yield) จะอยู่ประมาณ 6-7%
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น TRUE ให้ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท มีมุมมอง slightly positive sentiment ต่อผู้ถือหน่วย DIF มีมติเข้าลงทุนในสินทรัพย์กลุ่ม TRUE เพิ่มอีกราว 7 หมื่นลบ. ทั้งนี้ คาด TRUE จะมีกำไรทางบัญชีหลังภาษีจากธุรกรรมดังกล่าวราว 3.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1.05 บาท/หุ้น โดยจะทยอยบันทึกใน Q4/60 ราว 6.8 พันล้านบาทและ Q2/61 อีกราว 28.0 หมื่นล้านบาท ผลักดันผลการดำเนินงานปี 60 และปี 61 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ เป็น 2.7 พันล้านบาทและ 23.8 หมื่นล้านบาทจากปี 16 ที่ขาดทุน 2.8 พันล้านบาท
สำหรับผลประโยชน์ที่ TRUE ภายหลังธุรกรรมขายทรัพย์สินเข้ากอง DIF คือ กระแสเงินสดหลังภาษี ได้ไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็น -1.8 บาท/หุ้น ผลักดันฐานะการเงินจะแข็งแกร่งขึ้น โดย Net Debt /EBITDA สิ้นปี 61 จะเหลือ 2.0 เท่าจาก ณ สิ้น Q3/60 ที่ 2.9 เท่า อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวผลการดำเนินงานปกติจะถูกบั่นทอนด้วยค่าเช่าทรัพย์สินส่วนที่ขายไปเฉลี่ยปีละ 5-6,000 ล้านบาท กดดันเราคาดผลการดำเนินงานปกติจะขาดทุนไปอีกอย่างน้อย 5 ปี
ด้านผลการดำเนินงานปกติที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นจากการกินส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่องในตลาดมือถือและการคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยคาด EBITDA Q4/60 ยังเติบโตต่อทั้ง y-y, q-q อีกทั้ง ยังมีอานิสงส์เชิงบวกจากการอยู่เตรียมขายทรัพย์สินเข้ากองทุน DIF รวมถึง upside gain ก็เพิ่มเป็น 19%