บมจ.ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป (TU) ระบุในโอกาสฉลองครบรอบ 40 ปีเน้นย้ำความยั่งยืนและนวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต โดยภายในปี 63 สินค้านวัตกรรมจะมีบทบาทมากขึ้นในธุรกิจของกลุ่มบริษัท และคาดว่าจะสร้างรายได้ราว 10% ของยอดขายทั้งหมดที่บริษัทคาดไว้ที่ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า การเติบโตจากนี้ไป TU จะใช้นวัตกรรม (Innovation) และ การให้ความสำคัญการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) เพื่อสร้างความแตกต่างจากการเป็นสินค้า commodity และสร้างความน่าเชื่อถือกับผู้บริโภค คู่ค้า โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
ขณะเดียวกัน TU จะมุ่งเน้นความสามารถทำกำไรมากกว่ารายได้ (Top line) รวมทั้งให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่บริษัทได้เข้าลงทุนในหลายกิจการ โดยบริษัทยังเดินหน้าเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่อยู่ใน 6 กลุ่มธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ แต่ขณะนี้มองว่ายังไม่มีกิจการขนาดใหญ่ที่จะเข้าซื้อกิจการ
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ 3 หน่วยธุรกิจได้แก่ 1) กลุ่ม Emerging Market โดยจะมุ่งในกลุ่มประเทศเอเชีย โดยเฉพาะตลาดจีน ที่ TU เริ่มบุกตลาดในเซี่ยงไฮ้ก่อนโดยใช้แบรนด์ King Oscar ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าพรีเมี่ยม รวมทั้งร่วมมือกับ อาลีบาบาในช่องทางออนไลน์
2) กลุ่ม Global Food Service Chanel ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นภัตตาคาร ร้านอาหาร โรงพยาบาล เป็นต้น และ 3) กลุ่ม Marine Ingredient หรือผลิตภัณฑ์จากสินค้าทะเล ซึ่งจะเริ่มต้วเปิดตัวสินค้า "Tuna Oil"หรือน้ำมันทูน่าสกัดกลางปี 61 จากนั้นจะมีสินค้าจากผลิตภัณฑ์กุ้งและสัตว์เลี้ยงเป็นลำดับถัดไป คาดหวังว่าสินค้ากลุ่มนี้จะมีอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% ขึ้นไป โดยจะใช้นวัตกรรมที่ศูนย์นวัตกรรมของบริษัทในการผลิตสินค้ากลุ่มนี้
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า TU คาดว่า ทั้ง 3 หน่วยธุรกิจใหม่จะสร้างรายได้เห็นชัดเจนในปี 63 ที่คาดว่ากลุ่ม Emerging Market จะทำรายได้ราว 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะในจีนที่จะรุกทำตลาดหลายเมืองมากขึ้น กลุ่ม Marine Ingredient คาดจะมีรายได้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และ กลุ่ม Global Food Service คาดทำรายได้ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่เป้าหมายรายได้ในปี 63 อยู่ที่ 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยในช่วงที่ตั้งเป้าหมายดังกล่าวในปี 57 บริษัทคาดว่าจะซื้อกิจการบัมเบิ้ลบีผู้ผลิตทูน่ารายใหญ่ในสหรัฐ ที่มียอดขายกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ/ปี แต่แม้ว่าจะเข้าซื้อไม่ได้ บริษัทก็ได้ลงทุนในหลายกิจการทั้งในยุโรปและสหรัฐต่อเนื่อง โดยธุรกิจที่มีใช้เงินลงทุนค่อนข้างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้แก่ Red Lobster seafood ที่ลงทุนกว่า 500 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม TU เชื่อว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จะทำรายได้ในปี 63 ตามเป้าหมาย โดยที่มีรายได้จากธุรกิจราว 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ Red Lobster อีก 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันบริษัทถืออยู่ 25% และถือในรูปหุ้นบุริมสิทธิ์ 24% หากเห็นว่ากิจการของ Red Lobster ไปได้ดีก็คาดว่าจะแปลงเป็นหุ้นสามัญและซื้อเพิ่มเข้ามาอีกเพื่อให้ถือหุ้นเกิน 50% และบันทึกรายได้และกำไรในงบการเงินรวม
สำหรับในปี 61 บริษัทตั้งงบลงทุนปกติประมาณ 3.5-3.8 พันล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องจักร และปรับปรุงสายการผลิตและยังมีงบลงทุนด้านนวัตกรรมราว 300 ล้านบาท ส่วนงบซื้อกิจการยังไม่ได้กำหนด แต่บริษัทก็สามารถลงทุนได้มากที่สุดถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยปัจจุบัน บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ระดับ 1.3 เท่า โดยจะพยายามรักษาให้อยู่ระดับ 1 เท่า
ส่วนยอดขายยังไม่เปิดเผย แต่บริษัทจะหันมาเน้นความสามารถทำกำไรให้มากขึ้น โดยคาดว่าในปี 61 อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) จะอยู่ที่ 14.5-15.0% จากปี 60 อัตรากำไรขั้นต้นไม่ค่อยดีนัก โดยอยู่ต่ำกว่า 14% เป็นผลจากราคาวัตถุดิบสำคัญ คือทูน่าราคาปรับตัวขึ้นมากและปรับขึ้นต่อเนื่องมา 5 ไตรมาส ราคาสูงสุดขึ้นมาที่ 2,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ปัจจุบันก็เริ่มลดลงต่ำกว่าราคา 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน รวมทั้งเงินบาทแข็งค่าทำให้รายได้ในรูปค่าเงินบาทลดลง
"เราตั้งเป้าหมายปี 63 (ปีค.ศ. 2020) มีรายได้ 8 พันล้านเหรียญฯ อัตรากำไรขั้นต้น 20% โดย ณ วันที่เราตั้งเป้าหมายในปี 57 (ปีค.ศ. 2014) อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16-17% แต่ในปี 59-60 Gross Margin อ่อนตัวลง ปีนี้คาดว่าต่ำกว่า 14% คิดว่าในช่วงสั้นเราจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นขึ้นมาที่ 16-17% เราให้ความสำคัญเรื่องความสามารถทำกำไรเป็น priority มาก"นายธีรพงศ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะบริษัทได้กำไรจากธุรกิจที่ลงทุนก่อนหน้า โดยบริษัทที่เข้าถือต่ำกว่า 50% หรือไม่ได้รวมในงบการเงินรวม มีเข้ามาประมาณ 10% ของกำไรสุทธิ
นายธีรพงศ์ คาดรายได้ปี 60 เติบโตไม่เกิน 2% จากปีก่อน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายอยู่ที่ 1.01 แสนล้านบาท เติบโต 0.8% อย่างไรก็ตามคาดว่ารายได้ปีนี้จะได้ตามเป้าหมายที่ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ยังระบุว่า การดำเนินธุรกิจปัจจุบันยังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่อาจคาดเดาได้ อย่างที่เกิดขึ้นมาเช่นความไม่สงบในกลุ่มประเทศตะวันออกลาง กรณีอังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกยูโร (BREXIT) เป็นต้น
TU เริ่มต้นเมื่อปี 20 และเติบโตขึ้นเป็นบริษัทอาหารทะเลระดับโลก มีพนักงานกว่า 49,000 คน และได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลก ในช่วง 40 ปี ไทยยูเนี่ยนมีการเติบโตของแบรนด์สินค้าอาหารทะเลที่ได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้นและมีแหล่งผลิตสินค้าทั่วโลก โดยมีรายได้จากการขายกว่า 38% มาจากสหรัฐ และ 32% จากยุโรป อีก 8%มาจากญี่ปุ่น และ 10% จากไทย