บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินมูลค่าไม่เกินหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้ ของ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ที่ระดับ ‘F1(tha)’
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากบริษัทแม่: ฟิทช์มองว่า ESSO ได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องจากบริษัทเอ็กซอนโมบิลคอร์ปอเรชั่น (ExxonMobil) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ซึ่งเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระหว่างกัน เป็นการสนับสนุนจากบริษัทแม่เพื่อให้ ESSO มีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอในช่วงที่อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯอยู่ในระดับสูงในปี 2557
นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯมีวงเงินสินเชื่อมูลค่า 5.4 หมื่นล้านบาทและวงเงินกู้หมุนเวียนมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาทจากกลุ่ม ExxonMobil และนับตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาอัตราส่วนเงินกู้ยืมระหว่างกันต่อเงินกู้ยืมทั้งหมดของบริษัทฯ ยังคงสูงอยู่ที่ระดับ 60%-65% แม้ว่าหนี้สินทั้งหมดและอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะลดลงมามากแล้วก็ตามซึ่งช่วยให้ ESSO มีภาระหนี้สินกับบุคคลภายนอกที่ลดลง
ESSO ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการจัดซื้อน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ รวมทั้งทรัพยากรบุคคล การวิจัยและพัฒนาต่างๆ จากกลุ่มบริษัท ExxonMobil ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ
ความสามารถในการรองรับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิต (Rating Headroom)ที่เพิ่มขึ้น: ความสามารถในการรองรับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของ ESSO ในการเผชิญกับการลดลงของอัตรากำไรจากการกลั่นได้เพิ่มขึ้น เนื่องมาจากหนี้สินของ ESSO ที่ลดลงอย่างมากในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นและเงินลงทุนที่ต่ำ โดยหนี้สินของ ESSO ลดลงเหลือ 1.7 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยลดลงจาก 3.6 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2557
อีกทั้งอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) ลดลงเหลือ 1.6 เท่าใน 12 เดือนล่าสุดจนถึงไตรมาสที่ 3 ปี 2560 ฟิทช์คาดว่าหนี้สินของ ESSO จะลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2560-2561 เนื่องจากบริษัทฯยังไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ อย่างไรก็อัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าว มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นบ้างในปี 2560-2561 เนื่องจากฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ ESSO จะอ่อนตัวลงและราคาน้ำมันจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น
การลงทุนยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ: ESSO ไม่ได้มีแผนขยายหรือการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทฯมีเป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มความสามารถในการใช้น้ำมันดิบที่หลากหลายขึ้นในการควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มอัตราส่วนกำไร พร้อมกันกับการขยายเครือข่ายการค้าปลีกน้ำมัน โดยโครงการเหล่านี้เป็นโครงการขนาดเล็กที่มีการลงทุนที่ไม่สูงนัก การลงทุนของ ESSO ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 900 ล้านบาทถึง 1.4 พันล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับนี้ในช่วงที่ฟิทช์คาดการณ์
อย่างไรก็ตาม ESSO อาจจำเป็นต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อปรับปรุงโรงกลั่นเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ตามมาตรฐานการปล่อยก๊าซ Euro V (Euro V emission standard) แต่ในปัจจุบันรัฐบาลก็ยังไม่ได้มีแผนการนำข้อบังคับดังกล่าวมาปรับใช้
โรงกลั่นที่มีสายการผลิตที่เชื่อมโยงกับการผลิตพาราไซลีน: อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการผลิตที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่สูงของโรงกลั่น รวมถึงข้อได้เปรียบในการเข้าถึงวัตถุดิบและชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน นอกจากนี้ การเชื่อมโยงกับการผลิตสารพาราไซลีน (PX) ยังช่วยเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ และประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์โดยรวม อีกทั้งยังช่วยลดความผันผวนจากอัตราส่วนกำไรจากการกลั่นของบริษัทได้ระดับหนึ่ง แม้ว่ากำลังการผลิต PX ในภูมิภาคที่สูงในปัจจุบันจะทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอยู่ในระดับต่ำก็ตาม นอกจากนี้ ESSO ยังเป็นผู้ค้าน้ำมันปลีกรายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศไทยในปี 2559 ผ่านช่องทาง สถานีจัดจำหน่ายจำนวน 542 สถานี
ความผันผวนตามวัฏจักรของธุรกิจ: สถานะเครดิตของ ESSO ยังพิจารณารวมถึงความเสี่ยงจากความผันผวนที่สูงของราคาน้ำมันดิบ รายได้ค่าการกลั่น ตลอดจนส่วนต่างระหว่างราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อรายได้ ความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียน และการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทฯ นอกจากนี้ ESSO ยังมีความเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ มีโรงกลั่นน้ำมันเพียงแห่งเดียว (Single-Site) อีกด้วย
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป อันดับเครดิตของ ESSO สะท้อนถึงลักษณะธุรกิจที่ครอบคลุมทั้งโรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจผลิตปิโตรเคมีและธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งสถานะทางธุรกิจของ ESSO อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตอยู่ โดย ESSO มีอัตราส่วนหนี้สินที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับบริษัทในธุรกิจดังกล่าว
ESSO มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ((อันดับเครดิตที่ A-(tha)/F2(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ BBB+(tha)) ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สิน อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน IRPC มีโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจปิโตรเคมีมากกว่าซึ่งทำให้อัตราส่วนกำไรต่อรายได้สูงกว่า
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์มองว่า ESSO มีความเชื่อมโยงกับบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ExxonMobil ที่สูงกว่า Esso มีขนาดธุรกิจที่เล็กกว่า บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ((อันดับเครดิตที่ AA(tha)/F1+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ AA-(tha)) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ((อันดับเครดิตที่ AA-(tha)/F1+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ A+(tha)) และ ESSO ยังมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่าทั้งสองบริษัทฯดังกล่าว
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ: ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 52.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2561, 55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2562, 57.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563 เป็นต้นไป โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ ESSO;
- ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูงในปี 2560 และลดลงในปี 2561 เป็นต้นไป
- ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบพาราไซลีนค่อยๆฟื้นตัวในปี 2562-2564
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนสำหรับการดูแลรักษาซ่อมบำรุงและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพขนาดเล็กในช่วง 2560-2564
- บริษัทฯเริ่มจ่ายปันผลในปี 2561 เป็นต้นไป
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยบวก: ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท ExxonMobil ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนปัจจัยลบ: สัดส่วนการถือหุ้นและการสนับสนุนที่น้อยลงจากกลุ่มบริษัท ExxonMobil,การลดลงของการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารและตลาดตราสารหนี้ซึ่งอาจมีผลต่อสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทฯ และ อัตราส่วนหนี้สินโดยคำนวณจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) อยู่ในระดับที่สูงกว่า 6.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: ESSO มีหนี้สินจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 โดยในจำนวนนี้หนี้สินจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้ที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้าโดยส่วนใหญ่เป็นหนี้สินระยะสั้น สภาพคล่องของบริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 776 ล้านบาท กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานของบริษัทฯที่คาดการณ์ไว้ ที่ 1.8 พันล้านบาทในปี 2561 และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากกลุ่มบริษัทแม่ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 มูลค่ากว่า 6.6 หมื่นล้านบาทรวมถึงวงเงินสินเชื่อแบบ uncommitted ที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 3.2 หมื่นล้านบาทจากสถาบันการเงิน