โบรกเกอร์ แนะนำ "ซื้อ"หุ้นบมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) หลังมองแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 61 เติบโตโดดเด่นจากการรับรู้รายได้งานโครงการต่าง ๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะงานโครงการของภาครัฐ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะคว้างานใหม่เพิ่มขึ้นได้อีกมาก ทั้งจากงานโครงการภาครัฐที่จะออกมาเป็นจำนวนมาก ทั้งงานโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ โครงการมอเตอร์เวย์ รวมถึงงานอื่น ๆ จากการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยหนุนมูลค่างานในมือ (Backlog) มีโอกาสเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันที่กว่า 2 พันล้านบาท
ช่วงบ่ายราคาหุ้น SEAFCO อยู่ที่ 9.85 บาท ลดลง 0.05 บาท หรือ 0.51% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.54%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เอเซีย พลัส ซื้อ 12.00 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 10.60 บัวหลวง ซื้อ 10.50 ทิสโก้ ซื้อ 10.30 เออีซี ซื้อ 10.00 นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ "ซื้อ" SEAFCO ราคเป้าหมาย 10.60 บาท/หุ้น จากแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/60 จะยังดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3/60 เพราะงานใหม่ที่เป็นงานมอเตอร์เวย์เริ่มเดินหน้า หลังจากได้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการขุดเจาะถนนใหม่ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้น ประกอบกับโอกาสการรับงานใหม่โดยเฉพาะงานรถไฟฟ้าสายสีส้มที่เป็นผู้รับงานช่วงจากบมจ.ช.การช่าง (CK) มูลค่าราว 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงานของเอกชนอื่น ๆ ที่ได้รับเพิ่มนับจากต้นปีถึงปัจจุบันมูลค่ารวม 3.2 พันล้านบาท และในปี 61 ยังมีงานรถไฟฟ้าสายสีอื่น ๆ เช่น สายสีชมพู สีเหลือง และสายใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะเป็นปัจจัยหนุให้มูลค่างานในมือ (Backlog) สูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบันที่ระดับ 2.4 พันล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของรายได้ไนอนาคต โดยมองว่าในปี 61 จะมีการกระจุกตัวของการรับรู้รายได้ของงานมากขึ้น โดยคาดว่า SEAFCO จะมีรายได้อยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.7 พันล้านบาทในปีนี้ และคาดว่ากำไรจะเติบโตโดดเด่นขึ้นเป็นเกือบ 300 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าอยู่ที่ราว 190 ล้านบาท นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า SEAFCO มีแนวโน้มกำไรที่เติบโตสูง และแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยในปี 61 จะมีความต้องการใช้เสาเข็มเจาะและกำแพงกันดิน เป็นจำนวนมากจากงานโครงการของภาครัฐที่ออกมา ซึ่งยังไม่รวมกับงานภาคเอกชนที่แนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการสร้างต่างๆ โดยคาดจะมีงานรากฐานมูลค่า 3-7 พันล้านบาท ออกมาในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จากโครงการลงทุนรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีส้ม สายสีชมพู และสายสีเหลือง ซึ่งจะผลักดันการเติบโตของ SEAFCO ได้อย่างดี และการเป็นผู้รับเหมาช่วงให้กับงานของ CK ทำให้ได้รับอานิสงส์เชิงบวกไปด้วย ซึ่งคาดว่าจะผลักดันกำไรของปี 61 เติบโตมาอยู่ที่ 240 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 187 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/60 คาดว่าจะเห็นกำไรดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3/60 แต่จะทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้รายได้จาก Backlog ที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งมีการรับรู้รายได้จากงานค่าแรงที่ให้มาร์จิ้นดีในสัดส่วน 50% ส่งผลต่อแนวโน้มของอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น บทวิเคราะห์บล.ทิสโก้ ระบุว่า ปริมาณงานในมือของ SEAFCO คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.6 พันล้านบาท แต่จะเพิ่มขึ้นจากการประกาศผลของการประมูลงานในอนาคต โดยคาดว่า SEAFCO จะได้งานบางส่วนของรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลือง และโครงการ One Bangkok โดยจะรู้ผลในช่วงปลายปี 60 และยังมีโครงการ Landmark ที่เมียนมา และโครงการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นในปี 61 รวมสายสีม่วง, สายสีส้มตะวันตก, ทางด่วน 2 สาย, โครงการ Mixed-use ที่พระราม 4 เป็นต้น นักวิเคราะห์บล.เออีซี คาดว่าปี 61 SEAFCO จะมีรายได้ที่เติบโตมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปีนี้ เพราะมีการรับรู้รายได้จากงานเสาเข็มเจาะโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงจิระ-ขอนแก่นเข้ามาเป็นจำนวนมาก และยังมีโครงการอื่น ๆ ที่จะทยอยรับรู้รายได้เข้ามา ซึ่งทำให้มีโอกาสที่กำไรจะทำสถิติสูงสุดได้ต่อเนื่องในปี 61 จากปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิจะทำสถิติสูงสุด 220 ล้านบาท นอกจากนี้ยังคาดว่ามูลค่างานในมือ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบัน เพราะโอกาสในการคว้างานใหม่ เช่น งานรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองบางส่วน และโครงการ Landmark ที่เมียนมา อีกทั้งยังมีงานที่คาดว่าจะเปิดประมูลโครงการลงทุนภาครัฐและเอกชนในปี 61 ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก โครงการทางด่วน 2 สาย โครงการ Mixed-use ที่พระราม 4 ซึ่งจะทำให้ Backlog ของ SEAFCO เพิ่มขึ้นสูงในอนาคต