ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ร่วมลงทุนหุ้นที่เสนอขายใหม่แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) จำนวน 64 ล้านหุ้น มูลค่า 2.88 พันล้านบาท หรือราว 88 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยหุ้น GULF เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่วันนี้ (6 ธ.ค.) หลังจากที่ได้ระดมทุนผ่าน IPO เป็นมูลค่ากว่า 2.39 หมื่นล้านบาท หรือราว 733 ล้านเหรียญสหรัฐ
การจัดสรรเงินทุนของเอดีบีครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนในนามของ Leading Asia’s Private Infrastructure Fund (LEAP) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับการให้กู้ร่วม (co-financing) ในด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาคเอกชนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก โดยเฉพาะ LEAP ได้รับการสนับสนุนจากองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งตกลงที่จะจัดสรรเงินลงทุนในหลักทรัพย์เป็นวงเงิน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเดือนสิงหาคม 2560 โดยการลงทุนในหุ้นของ GULF ดังกล่าว ถือเป็นการลงทุนในหุ้นทุนครั้งแรกของ LEAP
"การลงทุนของเอดีบีดังกล่าว แสดงถึงความมุ่งมั่นระยะยาวที่จะทำงานร่วมกับผู้ผลิตพลังงานท้องถิ่นที่มีศักยภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" Christopher Thieme รองผู้อำนวยการ สำนักปฏิบัติการภาคเอกชนของเอดีบี กล่าว
"การที่เอดีบีสนับสนุนหุ้น IPO ของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีฯ แสดงให้เห็นว่าเอดีบีมีความมั่นใจในรูปแบบการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์การขยายธุรกิจของบริษัท"
GULF เป็นหนึ่งในผู้ผลิตพลังงานชั้นนำจากภาคเอกชนของประเทศไทย ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 11,125.6 เมกะวัตต์ ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานและพัฒนาของบริษัท ปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 17 โครงการ แบ่งเป็น โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ (IPP) 2 โครงการ โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติขนาดเล็ก (SPP) ซึ่งใช้ระบบการผลิตพลังงานร่วม(cogeneration) 11 โครงการ และโรงผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาขนาดเล็กมาก (VSPP) 4 โครงการ และยังมีอีก 11 โครงการที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา ได้แก่ โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ (IPP) 2 โครงการ โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติขนาดเล็ก (SPP) ระบบ cogeneration 8 โครงการ และโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลขนาดเล็ก (SPP) 1 โครงการ
GULF มีจุดประสงค์ให้ส่วนหนึ่งของการขายหุ้น IPO ดังกล่าว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในประเทศไทย และเพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตของบริษัท ในภาคพลังงานนอกประเทศไทย รวมถึงในภาคพลังงานทดแทนด้วย
ประเทศไทยมีการบริโภคพลังงานมากเป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 2.67% ต่อปี ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงอีก 20 ปีข้างหน้า จากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับล่าสุด ประเทศไทยมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าใหม่ 57,459 เมกกะวัตต์ และมีการปลดกำลังผลิตโรงไฟฟ้าเก่าที่หมดอายุในช่วงปี 58-79 จำนวน 24,736 เมกะวัตต์