นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 61 จำนวน 10 โครงการ มีมูลค่ารวม 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับสำหรับการพัฒนาแล้ว โดยจะเริ่มเปิดโครงการตั้งแต่ไตรมาส 1/61 เพื่อให้มียอดโอนรอรับรู้ในปี 62-63 โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ตามแนวรถไฟฟ้าซึ่งอาจห่างออกมาจากสถานีกว่าเดิม แต่ยังสามารถเดินทางได้สะดวก เนื่องจากผลสำรวจพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังมีความสามารถและต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในราคา 2-3 ล้านบาท/ยูนิต
ขณะที่มองแนวโน้มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปี 61 จะดีกว่าปีนี้ เนื่องจากผู้พัฒนาโครงการมีการแข่งขันที่สูงขึ้นเพราะต่างก็มีการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาค่อนข้างมาก และก่อให้เกิดการแข่งขันซื้อที่ดินเพื่อรอก่อสร้างและเปิดโครงการใหม่ ๆ ทำให้ราคาต้นทุนที่ดินจะขยับขึ้นราว 7-10% และส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมขยับตัวสูงตามอีกราว 5-7%
ทั้งนี้ บริษัทอาจใช้กลยุทธ์การลดขนาดห้องเป็น 26 ตารางเมตร/ห้อง จากเดิมมีขนาดห้องละ 28-30 ตารางเมตร เพื่อบริหารต้นทุนให้ต่ำลงตอบรับแนวโน้มความต้องการซื้อของลูกค้าในอนาคตที่ยังคงความต้องการซื้อในราคา 2-3 ล้านบาท/ยูนิต อีกทั้งบริษัทยังต้องรักษาระยะเวลาในการขายให้เร็วขึ้นเพื่อทำกำไร โดยมีเป้าหมายจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 40%
ด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังมีความคึกคักต่อเนื่องจากปี 60 แต่การเปิดโครงการใหม่จะมีไม่มาก เนื่องจากส่วนใหญ่เปิดโครงการในช่วงก่อนเดือนต.ค.60 แล้ว ซึ่งช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะเป็นการแข่งขันทางด้านโปรโมชั่นและการจัดแคมเปญด้านการให้ส่วนลด
นางสาวอธิกา กล่าวว่า บริษัทมีแผนการออกหุ้นกู้ใหม่ในปี 61 เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะหมดอายุในเดือนเม.ย.ราว 800 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนลงทุนซื้อที่ดินค่อนข้างมากในปีหน้า โดยบริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับซื้อที่ดินไว้กว่า 1 พันล้านบาท ส่วนใหญ่จะมีแหล่งเงินลงทุนมาจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ราว 1.3 เท่า และมีนโยบายรักษาระดับหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 1.5 เท่า และอาจมีการออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น (B/E) เข้ามาหมุนเพื่อลดต้นทุนและขยายวงเงิน Bridging Loan สำหรับปี 61 ด้วย
ทั้งนี้ ในปี 61 บริษัทตั้งเป้ารายได้และยอดขาย เติบโต 20% จากปีนี้ โดยปัจจัยสำคัญมาจากสินค้าเหลือขายที่เพียงพอจากปีนี้ที่ปัจจุบันมี 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งพร้อมโอนแล้วราว 2.8 พันล้านบาท ขณะเดียวกันยังมียอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมดราว 4 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปี 60 ราว 2.3 พันล้านบาท และปี 61 ราว 1.1 พันล้านบาท ,ปี 62 ราว 206 ล้านบาท และปี 63 อีกราว 427 ล้านบาท
ด้านธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์รูฟบนหลังคา โดยมีแผนจะขยายกำลังการผลิตธุรกิจโซลาร์ฟาร์ม แต่ทั้งนี้ต้องรอความชัดเจนจากนโยบายของภาครัฐก่อน ส่วนธุรกิจโซลาร์รูฟบนหลังคาปัจจุบันมีการรับติดตั้งให้กับร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 8 สาขา ซึ่งติดตั้งไปแล้ว 4 สาขา และรับรู้รายได้แล้ว 1 สาขา ตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีขนาด 20 กิโลวัตต์/สาขา ใช้งบลงทุนในการติดตั้งสาขาละ 1 ล้านบาท สามารถทำรายได้ 1.2 แสนบาท/ปี คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10 ปี เบื้องต้นมีการตอบรับที่ดี โดยประเมินความคุ้มค่าและทำสัญญากับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ต่อไปเพื่อติดตั้งเพิ่มอีกราว 200 กว่าสาขา อีกทั้งยังมีการเจรจากับโกดังและห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเดินหน้าขยายธุรกิจดังกล่าวด้วย