โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) หลังมองกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 61-62 จากการรับรู้โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในมือทยอยเข้าระบบ แม้ในปีหน้าจะไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่เข้าระบบก็ตาม แต่ก็จะรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) 3 แห่งที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปีนี้ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ในลาว และโรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา และโรงไฟฟ้ามาซินลอค หน่วยที่ 3 ในประเทศฟิลิปปินส์ จะเริ่มเดินเครื่องผลิตในปี 62 ก็จะช่วยหนุนผลการดำเนินงานให้เติบโต แม้หาก EGCO จะไม่สามารถหากำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมเข้ามาในพอร์ตได้ก็ตาม
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ EGCO มีฐานการผลิตในต่างประเทศหลายแห่งที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ ก็ทำให้มีโอกาสที่จะได้กำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่จากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติมในมือมากกว่ารายอื่น ขณะเดียวกัน EGCO ยังอยู่ระหว่าง ศึกษาและพัฒนาโรงไฟฟ้ากวางจิ ขนาดประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ในเวียดนาม ซึ่งการลงทุนนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ EGCO ได้เมื่อโครงการได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)
ราคาหุ้น EGCO พักเที่ยงอยู่ที่ 221 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ 2.31% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.23%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บัวหลวง ซื้อ 260 เคจีไอ (ประเทศไทย) Outperform 260 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 246 เอเอสแอล ซื้อ 245 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 250 กสิกรไทย ถือ 225
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ EGCO ยังมีทิศทางเติบโตในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า แม้ภาพโอกาสการขยายโรงไฟฟ้าในไทยจะมีค่อนข้างน้อย แต่โอกาสขยายงานโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศจะมีมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายอื่นของไทย เนื่องจากมีฐานอยู่ในหลายประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ลาว ซึ่งที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ
"แน่นอนทุกคนไปต่างประเทศกันหมด ไม่ใช่แค่นักลงทุนไทย แต่ต่างประเทศอื่นก็มีเพราะอาจจะมีจำนวนเมกะวัตต์ที่ให้คนมองหาได้เยอะกว่า การแข่งขันก็มี ดังนั้น ก็กลับไปตอบโจทย์ของคนที่อยู่ในพื้นที่ก็จะเห็นอะไรได้ชัดเจนมากกว่า คนที่อยู่ในพื้นที่ก็มีโอกาสได้มากกว่า"นายสุทธิชัย กล่าว
นายสุทธิชัย กล่าวว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา EGCO เป็นบริษัทหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตสูง โดยในช่วงปี 59-60 มีโรงไฟฟ้าที่ทยอยเข้าระบบมามาก ทำให้ด้านพื้นฐานปรับตัวดีมากระดับหนึ่ง แม้ในปี 61 จะไม่มีโรงไฟฟ้าใหม่เข้าระบบเพิ่มเติม แต่ก็จะรับรู้โรงไฟฟ้า SPP จำนวน 3 แห่งที่เข้ามาในปีนี้ได้เต็มปีในปีหน้า และในปี 62 ก็จะมีโรงไฟฟ้าอีก 3 แห่งเข้ามา ซึ่งหาก EGCO ไม่สามารถหากำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติมในมือได้ ก็จะยังสามารถประคองตัวรักษาการเติบโตของผลประกอบการได้ต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าได้ดี
โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มกลับเป็นทิศทางขาขึ้น การลงทุนในหุ้นปันผล อย่างเดียวอาจจะไม่จูงใจมากนัก จึงควรเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตด้วย สำหรับหุ้นโรงไฟฟ้ามักจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 3-4% อย่างบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 6% เพราะยังไม่มีการขยายงาน ,บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4% ส่วน EGCO ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลกว่า 3% และยังเป็นตัวหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตในช่วง 3-4 ปีข้างหน้าด้วย ก็จะทำให้การจ่ายปันผลมีโอกาสเติบโตตามไปด้วยเช่นกัน
สำหรับในปี 60 ประมาณการกำไรจากการดำเนินงานของ EGCO ที่ระดับ 9.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากโรงไฟฟ้าใหม่ที่เข้ามาในปีนี้ และปี 61 ประเมินกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 14% มาที่ 1.04 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการรับรู้กำลังการผลิตของ SPP ทั้ง 3 แห่งใหม่ได้เต็มปี
ด้านบทวิเคราะห์บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ณ สิ้นเดือนต.ค. EGCO มีกำลังการผลิตที่เดินเครื่องแล้วที่ 4,600 เมกะวัตต์ และอีก 708 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะทยอยเข้าระบบในปี 62 จำนวน 547 เมกะวัตต์ และปี 65 อีก 161 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ การไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้าระบบในปี 61 อาจทำให้การเติบโตของกำไรไม่น่าตื่นเต้นมากนัก อย่างไรก็ตามกำลังการผลิตในปี 61 ก็จะมีขนาดรวมที่ค่อนข้างใหญ่ขึ้น หลังจากมีโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามาในปีนี้ ซึ่งจะทำให้การเติบโตของกำไรน่าสนใจมากขึ้นที่ 7.3% และคาดว่าการเติบโตของกำไรจะต่อเนื่องไปปี 62 จากการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าใหม่เต็มปี
นอกจากนี้ EGCO กับพันธมิตร คือบริษัท กฟผ.อินเตอร์เนอร์ชั่นแนล จำกัด (EGATi) และ Kyushu Electric Power อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาโครางการกวางจิ 1 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินในเวียดนาม ขนาดประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ โดยมองว่าการลงทุนนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ EGCO เมื่อได้รับสัญญา PPA แต่น่าจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการดำเนินการ ขณะที่ความหลากหลายของฐานการลงทุนในหลายประเทศ จะช่วยสร้างโอการของการลงทุนใหม่ ๆ ให้แก่ EGCO ต่อไปในอนาคต
ขณะที่บล.เอเอสแอล ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คงชอบ EGCO มากที่สุดในกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากกำไรสุทธิที่เติบโตต่อเนื่องตามแผนขยายกำลังผลิต ประกอบกับมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ โดยประเมินเงินปันผลในปี 60 ในอัตรา 7 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 3.2% และจ่ายปันผลปี 61 ที่ 7.5 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 3.4%
ทั้งนี้ EGCO มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่การทยอยยเริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าของโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 3/60 ได้แก่ โรงไฟฟ้า Cogeneration โครงการคลองหลวง (ปทุมธานี) กำลังผลิต 118 เมกะวัตต์ เริ่มผลิต 20 ก.ค. และโรงไฟฟ้า Cogeneration โครงการบ้านโป่ง (ราชบุรี) จำนวน 2 หน่วย กำลังผลิตหน่วยละ 128 เมกะวัตต์ เริ่ม 1 ต.ค. รวมไปถึงการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ ในอินโดนีเซีย โครงการที่ทยอยเริ่มผลิตจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของผลประกอบการ โดยคาดว่า EGCO จะมีกำไรสุทธิปี 60 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน และกำไรสุทธิปี 61 อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากปีนี้