MBKET ตั้งเป้าดันมาร์เก็ตแชร์ฟื้นมาที่ 8-9% ในปี 61 จากปัจจุบัน 7.97%,เจรจางาน IB ในมือราว 25-37 ราย

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 6, 2017 17:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารักษาการเป็นโบรกเกอร์อันดับ 1 ต่อเนื่องหลังฟื้นมามีส่วนแบ่งทางการตลาด 6.19% ในเดือน ต.ค.60 กลับมาเป็นอันดับ 1 และยังฟื้นตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ จากช่วงก่อนหน้านี้บริษัทฯประสบปัญหาด้านบุคคลากร

ทั้งนี้ ในปี 61 ตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ในระดับที่ 8-9% จากปัจจุบันที่ 7.97% โดยจะจับตลาดในวงกว้าง ทำให้มีรายได้เข้ามาจากหลากหลายธุรกิจ เพื่อความมั่นคงของบริษัทฯ และพัฒนาคุณภาพรวมถึงจุดยืนตามแนวทางธุรกิจทุกด้าน ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากค่านายหน้าค้าหลักทรัพย์ราว 50-60% รายได้จากดอกเบี้ยรับราว 15% รายได้จากงานวานิชธนกิจ (IB) ราว 10% และรายได้จากการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ราว 5-10%

นอกจากนี้ ธุรกิจ IB ขณะนี้บริษัทมีดีลในมือและที่เจรจาอยู่ทั้งหมดราว 25-37 ราย ประกอบด้วย งานที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ในการควบรวมกิจการ (M&A) 3-4 ราย จัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) 3-4 ราย กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) 1-2 ราย การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) 14-15 ราย การเพิ่มทุนสามัญให้กับบุคคลในวงจำกัด (PP) 3-4 ราย และงาน FA อื่น ๆ 1-2 ราย

นายมนตรี คาดว่าในปี 61 MBKET จะสามารถนำบริษัทของลูกค้าเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ราว 5-7 ราย

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาการเป็นผู้จัดจำหน่ายและซื้อ-ขายตราสารหนี้ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) อ้างอิง SET50 และ Structured Note ซึ่งจะเห็นความชัดเจนภายในปีหน้า เพื่อเป็นธุรกิจที่เข้ามาเพิ่มเติมในส่วนของรายได้และกำไรให้มากขึ้น

ด้านผลงานในปีนี้ บริษัทคาดว่ายอดบัญชีในปี 60 จะสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ 2 แสนบัญชี โดยปัจจุบันมีบัญชีแล้วกว่า 199,600 บัญชี โดยเป็นบัญชีที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ 77,888 บัญชี เนื่องจากบริษัทมีสินค้าและบริการใหม่ ๆ ออกมานำเสนอให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีคนสนใจเข้ามาเปิดบัญชีค่อนข้างมาก และแนวโน้มการเปิดบัญชีใหม่ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ โดยบริษัทฯจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวด้วย

นายมนตรี กล่าวอีกว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในปี 61 ดัชนี SET มีโอกาสขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมได้ที่ 1,789 จุดเมื่อวันที่ 4 ม.ค.37 ซึ่งห่างจากระดับดัชนี SET ในปัจจุบันประมาณ 5% เท่านั้น ขณะที่ธุรกิจหลายภาคส่วนฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งการบริโภค การลงทุนภาครัฐและเอกชน การส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงความชัดเจนในการเลือกตั้ง

ปัจจุบัน ตลาดหุ้ยไทยมีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไร (P/E) อยู่ราว 15-16 เท่าของกำไรในปี 61 คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 7% เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากจากธนาคารที่อยู่ราว 1 % เท่านั้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่นิวไฮเดิมดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่อยู่ราว 10% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่อยู่เพียง 5% เท่านั้น อีกทั้งมูลค่าตลาดฯ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นราว 17 ล้านล้านบาท จากนิวไฮเดิมที่มีมูลค่าตลาดฯราว 3.5 ล้านล้านบาท ทำให้ตลาดฯยังมีความน่าสนใจอยู่ และคาดว่ามีโอกาสที่ดัชนีฯจะลุ้นทดสอบนิวไฮเดิม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ