AIT ตั้งเป้าปี 61 รายได้แตะ 5.5 พันลบ.โต 10% จากปีนี้ เน้นดันธุรกิจบริการโตกว่า 21%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 7, 2017 17:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี (AIT) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 อยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีนี้ที่มั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 5 พันล้านบาท โดยจะมีการทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) เข้ามาราว 3 พันล้านบาท จาก Backlog ในปัจจุบันที่มีอยู่ 4.1 พันล้านบาท ประกอบกับบริษัทจะเน้นเพิ่มรายได้จากงานประเภทการบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนเสริมที่เป็นงานที่พ่วงไปกับงานขายสินค้า โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากงานให้บริการเพิ่มสูงขึ้นกว่าปัจจุบันที่ 21%

ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่เข้ามาเพื่อรองรับการเติบโตของผลการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเข้าประมูลงานมุลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานภาครัฐ และคาดหวังที่จะได้รับงานจำนวน 2-3 โครงการ มูลค่า 6-7 พันล้านบาท โดยงานใหม่ๆที่บริษัทจะเข้าประมูลให้ปี 61 จะเน้นงานที่ให้มาร์จิ้นที่สูง และจะไม่แข่งขันราคามาก เพราะบริษัทจะต้องบริหารระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 23% และ 8-10% ตามลำดับ

นอกจากนี้ ในปี 61 บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นกลับมาตามที่บริษัทคาดหวังไว้ข้างต้น หลังจากที่การรับรู้รายได้ของงานโครงการอินเตอร์เน็ตประชารัฐ ของบมจ.ทีโอที (TOT) ได้มีการรับรู้รายได้ไปทั้งหมดในไตรมาส 4/60 ทำให้จะเห็นการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในปี 61 โดยงานดังกล่าวเป็นงานที่มีมูลค่ามากแต่ให้มาร์จิ้นต่ำ ส่งผลกดดันอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในปี 60 ที่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 21% และ 8.79% จากปีก่อนที่ 24.49% และ 9.72% ตามลำดับ

ส่วนโครงการคาบาน่า ซึ่งเป็นโครงการเคเบิ้ล 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางเคเบิ้ลบนดินจากเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย และเคเบิ้ลใต้น้ำไปยังสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง 4 บริษัท โดย AIT ถือหุ้นในโครงการดังกล่าวสัดส่วน 22-23% โดยโครงการเคเบิ้ลบนดินจากเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทยคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือนธ.ค.นี้และคาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนม.ค.-กพ. 61 ซึ่งจะเริ่มมีรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 1/61 ส่วนโครงการเคเบิ้ลใต้น้ำไปยังสิงคโปร์จะเริ่มติดตั้งในปี 61 และโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ที่ร่วมทุนกับบมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) และบมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการและมีรายได้เข้ามาในไตรมาส 1/61 โดยโครงการทั้ง 2 คาดว่าจะใช้เวลาถึงจุดคุ้มทุนราว 4 ปี และให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 15%

ด้านงานวางระบบทะเบียนราษฎร์ในประเทศกัมพูชาที่เกิดความล่าช้า หลังจากที่พันธมิตรเก่าได้ถอนตัวออกไป แต่ปัจจุบันบริษัทได้มีการเจรจากับพันธมิตรรายใหม่จากจีน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้ร่วมกันลงทุนโครงการดังกล่าวในปี 61 และคาดว่าเริ่มลงทุนงานวางระบบทะเบียนราษฎร์ในประเทศกัมพูชาในปีหน้าเช่นเดียวกัน

นายศิริพงษ์ กล่าวถึงบลงทุนในปี 61 ว่า บริษัทฯ ตั้งไว้ราว 20 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการลงทุนภายใน ได้แก่ การลงทุนด้านงานวิจัยและพัฒนา (R&D) การลงทุนด้านซอฟท์แวร์ การลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากร และการพัฒนาบุคลากรที่เป็นนักศีกษาเพื่อส่งเสริมในการเริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งบริษัทมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาบุคลากรนักศึกษาในประเทศให้มีความสามารถพัฒนาและคิดค้นงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไอซีที โดยจะใช้บุคลากรของบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเป็นทีมผู้อบรมและให้ความรู้ ซึ่งบริษัทมองไปถึงการต่อยอดในงานด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการต่างๆที่จะไปนำเสนอลูกค้าในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ