นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล่า (ALLA) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 เติบโต 10% จากปีนี้คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ราว 700 ล้านบาท โดยในปี 61 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ 353 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3/60 ซึ่งจะทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้เข้ามาในปี 61 บางส่วน อีกทั้งบริษัทยังมีโอกาสคว้างานใหม่เข้ามาในปี 61 จากงานของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศ ที่จะมีการลงทุนเพิ่มไลน์การผลิตรองรับยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเริ่มทยอยได้ออร์เดอร์การสั่งซื้อเครนและรอกไฟฟ้าจากลูกค้าผู้ประกอบการรถยนต์ญี่ปุ่นเข้ามาบางส่วนแล้ว
นอกจากนี้ยังมีงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ที่จะมีการลงทุนเกี่ยวกับโรงซ่อม โดยในปี 61 บริษัทมองโอกาสที่จะคว้างานรถไฟฟ้าได้อีก 2-3 สาย จากปัจจุบันที่บริษัทได้รับงานโรงซ่อมของรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่เริ่มรับรู้รายได้เข้ามาแล้ว และโรงซ่อมรถไฟฟ้าสายสีแดงที่จะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในปี 61 ขณะที่เร็ว ๆ นี้บริษัทคาดว่าจะมีโอกาสได้งานโรงซ่อมรถไฟฟ้าสายสีส้มเข้ามาเสริม
นายองอาจ มองว่าในปีหน้าการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะเป็นแรงขับเคลื่อนปริมาณงานเครน รอกไฟฟ้า และประตูอุตสาหกรรมให้เพิ่มมากขึ้นได้ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ใน EEC เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และไบโอเคมี กลุ่มอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะงานโรงซ่อมของแอร์บัส กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงการต่อยอดพัฒนาสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยุ่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในประเทศที่เป็นผู้ประกอบการคลังสินค้า เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าใหม่ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 61
ขณะเดียวกันบริษัทยังคงเดินหน้าการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อให้การเติบโตของบริษัทมีมากขึ้น โดยบริษัทฯ จะเร่งสรุปแผนการลงทุนเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครน รอกไฟฟ้า และประตูอุตสาหกรรม คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/61 และจะเริ่มจัดจำหน่ายสินค้าได้ในปี 61
อีกทั้งบริษัทฯ ยังเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจเครนและประตูอุตสาหกรรมในประเทศอินโดนีเซียที่มีมากขึ้นต่อเนื่อง โดยการร่วมทุนในครั้งนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุนราว 10 ล้านบาท และจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทร่วมทุน ซึ่งจะถือหุ้นมากกว่า 50%
นายองอาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสขยายการลงทุนไปประเทศอื่นๆที่สนใจ เช่น กัมพูชา เมียนมา และฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นรูปแบบของการร่วมทุน โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทร่วมทุน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตร และจะเริ่มเจรจาอย่างจริงจังหลังจากที่การร่วมทุนในประเทศอินโดนีเซียแล้วเสร็จ
ส่วนงบลงทุนในปี 61 บริษัทตั้งไว้ที่ 100 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการลงทุนปรับปรุงสายการผลิตในโรงงานที่จังหวัดปทุมธานี การซื้อรถขนส่ง และใช้การลงทุนในบริษัทร่วมทุนที่อินโดนีเซีย ซึ่งเงินลงทุนจะมาจากเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก ( IPO) และกระแสเงินสดของบริษัท