นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนที่สนใจกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ หรือต้องการปรับพอร์ตเพื่อให้สอดรับการสภาวะตลาดในปัจจุบัน โดยแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นยุโรป และเอเชีย เพราะราคาหุ้นอยู่ในระดับสมเหตุสมผล ซึ่งบลจ.กสิกรไทยมีกองทุน K-EUROPE และกองทุน K-ASIA เสนอเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่สนใจ แต่สำหรับหุ้นสหรัฐฯ ให้รอประเมินสถานการณ์การลงทุน เนื่องจากปัจจุบันระดับราคาหุ้นเริ่มแพง
ส่วนปัจจัยที่ผู้ลงทุนยังคงต้องติดตามต่อเนื่อง อาทิ ความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ,การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการลดขนาดงบดุลบัญชีของเฟด รวมถึงปัญหาระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือ ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงเป็นทางเลือกสำหรับภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูง
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศ จำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A(ชนิดจ่ายเงินปันผล) หรือ K-USXNDQ-A(div) ในอัตรา 0.20 บาท/หน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560 -30 พฤศจิกายน 2560, กองทุนเปิดเค ไชน่าหุ้นทุน (K-CHINA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 - 30 พฤศจิกายน 2560
กองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K-GINFRA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560 - 30 พฤศจิกายน 2560 และกองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2560-30 พฤศจิกายน 2560
ทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 ธันวาคม 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 371.81 ล้านบาท
นายนาวิน กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USXNDQ-A(div) มีความโดดเด่น โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 17.82% และตั้งแต่ต้นปีสร้างผลตอบแทนได้กว่า 28.52% (ณ วันที่ 30 พ.ย. 60) โดยได้รับอานิสงส์จากการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มการเติบโตทั้งรายได้และผลกำไรในระดับสูง โดยดัชนี NASDAQ 100 ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานกองทุนมีสัดส่วนหุ้นไอทีกว่า 60% สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจซึ่งออกมาดีเกินคาดที่ 3% ทั้งนี้ จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น มีแนวโน้มสูงที่เฟดจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้
ด้านผลการดำเนินงานกองทุน K-CHINA โดยรวมนับว่ามีความโดดเด่น และให้ผลตอบแทนในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 3.66% และในช่วง 1 ปีให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 28.21% (ณ วันที่ 30 พ.ย. 60) โดยมีแรงหนุนหลักจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มไอที รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีอย่างกลุ่มบริษัทประกันและธนาคาร
กองทุน K-CHINA เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี จ่ายปันผลสูง (Value) และหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการภาครัฐบาลจีนที่เน้นการบริโภคในประเทศและการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ อาทิ ภาคอุตสาหกรรมการขนส่ง วัสดุก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มเติบโตโดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากภาคการผลิต และภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคบริการที่ขยายตัวตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ในและต่างประเทศ ตลอดจนแผนพัฒนาประเทศของประธานาธิบดีสี่จิ้นผิง ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน K-GINFRA ในช่วง 9 เดือนที่ผ่าน สร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นที่ 10.10% ใกล้เคียงกับดัชนีชี้วัดที่ 10.35% (ณ วันที่ 30 พ.ย. 60) โดยได้รับอานิสงส์จากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัว อาทิ การควบรวมกิจการ (M&A) หรือการพัฒนาของข้อกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจท่อส่งก๊าซในจีน และผู้จัดส่งน้ำประปาในอังกฤษ นอกจากนี้ กองทุน K-GINFRA ยังได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น และค่าเงินยูโรที่แข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับกองทุน K-GA ซึ่งมีนโยบายกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน อยู่ที่ 3.99% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 11.36% (ณ วันที่ 30 พ.ย. 60) โดยกองทุนได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและหุ้นทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมากองทุนเน้นให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นอินเดียและญี่ปุ่นซึ่งมี valuation อยู่ในระดับที่เหมาะสม