ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 1.2 หมื่นลบ. CPF ที่ระดับ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 12, 2017 16:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่ระดับ “A+" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาท ที่ระดับ “A+"

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนการมีฐานการผลิตในหลายประเทศ การมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย กลยุทธ์ที่เน้นการสร้างผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมบริโภคที่มีตราสัญลักษณ์ และความยืดหยุ่นทางการเงิน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากแผนการลงทุนขยายธุรกิจขนาดใหญ่ของบริษัท ตลอดจนความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์และราคาธัญพืชซึ่งเป็นวัตถุดิบ รวมทั้งความเสี่ยงจากโรคระบาดและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้า

CPF เป็นผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด และบริษัทย่อยเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วนรวม 48.5% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรทั้งธุรกิจสัตว์บกและผลิตภัณฑ์กุ้ง การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรส่งผลให้สินค้าของบริษัทได้มาตรฐานสากลทั้งในด้านความปลอดภัยและการตรวจสอบย้อนกลับซึ่งสามารถส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญซึ่งได้แก่ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป เอเชีย และประเทศสหรัฐอเมริกา

รายได้ของบริษัทมีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ โดยบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ใน 17 ประเทศ อย่างไรก็ตาม รายได้หลักของบริษัทมาจากกิจการในประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 36% ของรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ในขณะที่รายได้จากกิจการในประเทศจีนคิดเป็นสัดส่วน 24% ของรายได้รวม ตามด้วยรายได้จากประเทศเวียดนาม (13%)

ทั้งนี้ ธุรกิจอาหารสัตว์ซึ่งค่อนข้างมีเสถียรภาพเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มากที่สุดโดยคิดเป็นสัดส่วน 46% ของรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 รายได้จากธุรกิจเลี้ยงสัตว์ซึ่งราคามีความผันผวนเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์มีสัดส่วน 36% และธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 18%

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลง จากการลดลงอย่างมากของราคาสัตว์บกในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ตลอดจนการฟื้นตัวของธุรกิจกุ้งที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าธุรกิจสัตว์น้ำในต่างประเทศของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากการลดลงของราคาสัตว์บกทั้งในและต่างประเทศ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเท่ากับ 5.7% ลดลงจากระดับ 9.5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะเดียวกันกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลง 26.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมาอยู่ที่ระดับ 29,422 ล้านบาท

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นระดับหนึ่งจากการเพิ่มทุน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 20,000 ล้านบาท และนำเงินบางส่วนจากการเพิ่มทุนไปจ่ายชำระคืนหนี้ ทำให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 เงินกู้รวมของบริษัทเท่ากับ 285,324 ล้านบาทลดลงจากระดับ 312,728 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงมาเท่ากับ 55.8% ณ เดือนกันยายน 2560 จากระดับ 61.8% ณ สิ้นปี 2559

แม้ผลประกอบการของบริษัทจะอ่อนลง แต่เนื่องจากบริษัทได้เพิ่มทุนเพื่อชำระหนี้ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย และกระแสเงินสดเพื่อรองรับการชำระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับยอมรับได้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 10% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) เทียบกับ 11.6% ในปี 2559 และ 8.5% ในปี 2558 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 3.5 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 4.9 เท่าในปี 2559

คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคตอันใกล้จะได้รับผลกระทบจากราคาสัตว์บกที่ยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาสุกรทั้งในประเทศไทยและในประเทศเวียดนามจะค่อย ๆ ฟื้นตัวตามวัฏจักรราคาสัตว์บก ความต้องการผลิตภัณฑ์ไก่ในตลาดส่งออกยังคงแข็งแกร่งและราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ บริษัทจะยังคงได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของธุรกิจกุ้งภายในประเทศ

ปัจจัยบวกดังกล่าวน่าจะช่วยฟื้นฟูผลการดำเนินงานของธุรกิจสัตว์บกทั้งในไทยและต่างประเทศ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า รายได้ของบริษัทจะเติบโตเป็น 500,000-590,000 ล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 30,000-35,000 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูง บริษัทวางแผนงบลงทุนสำหรับการขยายงานประมาณ 25,000 ล้านบาทต่อปีซึ่งยังไม่รวมการซื้อกิจการ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะบริหารจัดการอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 60% ในช่วงที่มีการลงทุนขยายกิจการจำนวนมาก อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3-4 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10% ในช่วงเวลาเดียวกัน

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเอาไว้ได้ นอกจากนี้ การเป็นบริษัทที่มีความหลากหลายทั้งในด้านของการดำเนินงาน สินค้า และตลาดน่าจะช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์ในธุรกิจฟาร์มซึ่งมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์และความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคได้บางส่วน

อันดับเครดิตมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแรงขึ้นมาก ในขณะเดียวกันก็สามารถเพิ่มกระแสเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้อย่างมีนัยสำคัญได้อย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากบริษัทมีการซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้ฐานะการเงินอ่อนแอลงและทำให้กระแสเงินสดส่วนเกินสำหรับรองรับการชำระหนี้ลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ