ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. แสนสิริ (SIRI) ที่ระดับ “BBB+" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมกราคม 2561 และใช้ในการดำเนินธุรกิจ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำและผลงานที่ผ่านมาในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร รวมถึงความหลากหลายของสินค้า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่บริษัทมีแผนการขยายโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมาก รวมถึงการเจรจาซื้อโครงการบางแห่งจาก บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และการลงทุนในต่างประเทศ นอกจากนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงของประเทศไทยและอัตราการปฏิเสธการให้สินเชื่อบ้านที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในสินค้าบ้านระดับราคาปานกลางถึงต่ำจะยังคงมีผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางด้วย
บริษัทแสนสิริเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 80 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 150,000 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วน 50% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 44% และทาวน์เฮ้าส์ 6% ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยของที่อยู่อาศัยโดยรวมของบริษัทอยู่ที่ 6 ล้านบาท บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอการรับรู้รายได้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 เท่ากับ 6,900 ล้านบาท (ไม่รวมยอดขายรอการรับรู้รายได้จากโครงการร่วมทุนมูลค่า 24,000 ล้านบาท) และมีจำนวนหน่วยเหลือขาย (ทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) มูลค่ารวม 44,000 ล้านบาท (ไม่รวมจำนวนหน่วยเหลือขายจากโครงการร่วมทุนมูลค่า 13,000 ล้านบาท)
ยอดขายของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 24,681 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายคอนโดมิเนียมในโครงการร่วมทุนและยอดขายจากโครงการบ้านเดี่ยว รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 22,748 ล้านบาท รายได้จากการขายที่อยู่อาศัยลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในขณะที่รายได้จากการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยที่เป็นโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ รายได้บางส่วนของบริษัทในช่วงที่เหลือของปี 2560 จะมาจากยอดขายที่รอการส่งมอบมูลค่า 4,400 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายที่รอการส่งมอบจำนวนมากจากโครงการร่วมทุนจะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้จากการบริหารโครงการที่อยู่อาศัย ตามสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี โดยสัดส่วนของรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยจะลดลงเหลือ 70%-75% ของรายได้รวม ในขณะที่สัดส่วนของรายได้จากธุรกิจการบริหารโครงการที่อยู่อาศัยจากโครงการร่วมทุนจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงเหลือ 29% ของรายได้รวมในปี 2558 และ 31% ในช่วงปี 2559 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2560 จากที่เคยอยู่ที่ระดับ 33%-34% ในช่วงปี 2553-2557 เนื่องจากบริษัททำกิจกรรมทางการตลาดในหลายโครงการเพื่อระบายสินค้าสร้างเสร็จเหลือขาย ในช่วงปี 2558 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2560 ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของบริษัทดีขึ้นมาอยู่ที่ 17%-18% ของรายได้รวม จากที่เคยอยู่ที่ระดับ 20%-24% ในช่วงปี 2554-2557 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (ซึ่งคำนวณโดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) อยู่ที่ประมาณ 13%-14% ในช่วงปี 2557 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2560 อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 9%-10% ของรายได้รวมในช่วงปี 2558 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2560 ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน) เพิ่มขึ้นเป็น 62% ณ เดือนกันยายน 2560 จาก 59% ณ เดือนธันวาคม 2559 และ 57% ณ เดือนธันวาคม 2558 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเท่ากับ 10 เท่า ณ เดือนกันยายน 2560 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 6-8 เท่าในช่วงปี 2557-2559 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนและอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มสูงขึ้นจากระดับปัจจุบันจากการขยายธุรกิจเชิงรุก อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่ควรเกินกว่า 60% และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายไม่ควรสูงเกินกว่า 8 เท่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อคงอันดับเครดิตไว้ที่ระดับปัจจุบัน
สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเท่ากับ 9%-12% ในช่วงปี 2558 ถึง 9เดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้นจาก 8% ในปี 2557 และ 4% ในปี 2556 บริษัทใช้หุ้นกู้และเงินกู้โครงการเป็นแหล่งเงินทุนหลักในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2560 บริษัทมีเงินสดจำนวน 2,749 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้และสามารถเบิกใช้ได้ทันทีจำนวน 49,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ 2,500 ล้านบาทต่อปีเป็นอย่างต่ำ ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนดังกล่าวคาดว่าจะเพียงพอต่อการชำระคืนหนี้จำนวนประมาณ 20,000 ล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ได้ตามแผน อีกทั้งจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 60% และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 8 เท่า อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายควรอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 5 เท่าในช่วงระยะเวลาหนึ่งและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมควรเพิ่มเป็น 14%-15% ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ