บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (KJL) เป็นผู้ผลิตตู้ไฟ รางไฟ“เคเจแอล"และงานสั่งทำพิเศษด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย วางเผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) พร้อมกับผลักดันรายได้รวมแตะ 1,000 ล้านบาทภายในปี 63 จากปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมราว 700 ล้านบาท
นายการุณย์ สุจิวโรดม ประธานกรรมการบริหาร KJL เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เดินหน้าพัฒนากระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักร และนวัตกรรมที่ทันสมัย ซึ่งในปัจจุบันบริษัทฯได้ใช้เครื่องจักรในกระบวนการผลิตที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นเครื่องจักเครื่องแรกที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเทคโนโลยี และนวัตกรรมเครื่องจักรจากประเทศเยอรมนี
บริษัทมีแผนในการขยายโรงงาน ด้วยการลงทุนเครื่องจักรในการผลิต รวมถึงปรับปรุงกระบวนการผลิต ด้วยงบลงทุนปีละประมาณ 100 ล้านบาทเพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณสินค้า และเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนอง และตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รองรับการขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกราว 2 ล้านชิ้นต่อปี จากในปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 15 ล้านชิ้นต่อปี
ด้านนายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KJL เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นในการขายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) เหมือนที่ผ่านมา แต่จะขยายสินค้าในส่วนที่เป็น Vendor List ให้เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้า และเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า รวมถึงขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น เช่น ตู้เติมเงิน ตู้เติมน้ำมัน หรือ KIOSK ต่าง ๆ เป็นต้น
"บริษัทฯคาดว่าแนวโน้มของมูลค่าการลงทุนด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทยจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากปีนี้ จากปัจจัยสำคัญในการเปิดเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC ที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่บริษัทฯคาดว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เนื่องจากจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น"นายเกษมสันต์ กล่าว
ในขณะที่แผนการขยายตลาดในต่างประเทศบริษัทฯอยู่ในระหว่างพิจารณาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศเมียนมา โดยคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนและได้ข้อสรุปภายในปี 61 รวมถึงบริษัทอยู่ในระหว่างเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจจากญี่ปุ่นเพื่อร่วมทุนทางธุรกิจ โดยเป็นผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการขยายตลาดไปยังระดับนานาชาติได้ คาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 61 เช่นกัน