บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) มั่นใจว่าผลงานในปีหน้าจะเริ่มเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากเสร็จสิ้นการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ไปแล้วในปีนี้ และในปีหน้าจะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุน โดยเฉพาะใน 3 โครงการขนาดใหญ่ คือ โรงพยาบาลในจีนที่เริ่มให้บริการเต็มรูปแบบไปเมื่อเดือน พ.ย.หลังจากได้รับใบอนุญาตจากทางการ โรงพยาบาลในเมียนมาขนาด 200 เตียงที่จะเปิดให้บริการราวเดือน พ.ค.61 และ โครงการที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุที่รังสิต ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยโอนโครงการได้เมื่อโครงการเฟสแรกแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 61 จากมูลค่าลงทุนในโครงการทั้งหมด 3.7 พันล้านบาท
ขณะที่โครงการพัฒนาที่ดินในโครงการโซโหเดิมที่บริษัทเข้าซื้อมานั้น จะเริ่มพัฒนาเฟสแรกเป็นศูนย์พักฟื้นหลังการรักษา คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปี 61 ก่อนจะพัฒนาบริการในส่วนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างเตรียมแผนงานเพื่อสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่บริเวณหน้าโครงการที่อยู่อาศัยของผู้สูงวัยในรังสิต เนื่องจากมองว่าแถบนั้นไม่มีโรงพยาบาลเอกชนที่มีคุณภาพในการให้บริการที่ดี จึงน่าจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 5-7 ปี
นายแพทย์ธนาธิป ศุกประดิษฐ์ รองประธานเครือโรงพยาบาลธนบุรี กล่าวว่า ผลดำเนินงานของบริษัทในปี 61 ถือเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ไปก่อนหน้านี้ โดยจะรับรู้รายได้จากโรงพยาบาลร่วมทุนกับพันธมิตรฮ่องกงในเมืองเหวยไห่ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศของจีน ขนาด 150 เตียงเต็มที่ตลอดทั้งปี จากเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือน พ.ย.ที่ผ่านมาหลังจากได้รับใบอนุญาตจากทางการจีนเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นสูงมาก
โรงพยาบาลดังกล่าวรับรักษาโรคทั่วไป และมีความชำนาญเป็นพิเศษในด้านกระดูกและข้อ สามารถรับคนไข้นอกได้ราว 200 คน/วัน และคนไข้ใน 70 เตียง โดยหลังจากเปิดให้บริการเต็มรูปแบบสามารถสร้างรายได้สูงสุดถึงวันละ 1.5 แสนหยวน ดังนั้นเชื่อว่าผลประกอบการโรงพยาบาลแห่งนี้จะพ้นจากภาวะขาดทุนในปีหน้าแน่นอน
นอกจากนั้น โรงพยาบาลร่วมทุนในเมืองย่างกุ้งของเมียนมาขนาด 200 เตียงจะเปิดให้บริการในเดือน พ.ค.61 ซึ่งบริษัทได้เข้าไปถือหุ้นเบื้องต้นที่ 10% และจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 40% ในเดือน ม.ค.61 คิดเป็นมูลค่าลงทุนรวมทั้งหมด 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือเป็นการถือหุ้นของพันธมิตรท้องถิ่น คือ บริษัท จีเอ็มพี อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ขณะที่มีคณะแพทย์กว่า 30 คนเป็นผู้ถือหุ้นสัดส่วนรวมกัน 10% โดยเฉพาะนายแพทย์มิน โซ วิน ซึ่งเป็นแพทย์อันดับหนึ่งของเมียนมา และเป็นแพทย์ประจำตัวของอดีตประธานาธิบดีเต็งเส่ง
ปัจจุบัน เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาโรคทั่วไป และมีศูนย์เฉพาะทาง ด้าน หัวใจ ไตเทียม ส่องกล้อง เป็นต้น ซึ่ง THG จะรับหน้าที่บริหารโรงพยาบาล
ส่วนโครงการ Jin Wellbeing County บนที่ดิน 140 ไร่ย่านรังสิตซึ่งพัฒนาเป็นโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยและให้บริการทางการแพทย์อย่างครบวงจร คาดว่าโครงการเฟสแรกและเฟสที่ 2 รวม 494 ยูนิต ราคาขายราว 4-6 ล้านบาท/ยูนิต จะแล้วเสร็จปลายปี 61 ทำให้บริษัทสามารถทยอยโอนและเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาทันที ซึ่งขณะนี้มีผู้เข้ามาจองซื้อแล้วกว่า 200 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ส่วนมูลค่าโครงการทั้งหมดทุกเฟสมีจำนวน 1,340 ยูนิต อยู่ที่ 3,710 ล้านบาท
นายแพทย์ธนาธิป กล่าวว่า ขณะนี้แผนงานในโครงการดังกล่าวจะมีศูนย์ดูแลสุขภาพเพื่อรองรับการให้บริการด้านสุขภาพ (Age Care) ให้กับผู้อยู่อาศัยที่จะต้องจ่ายค่าบริการรายเดือน ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างรายได้ประจำให้กับบริษัท นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างเตรียมแผนเพื่อสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ด้านหน้าโครงการติดกับถนนวิภาวดีรังสิต เนื่องจากมองว่าในบริเวณโดยรอบยังไม่มีโรงพยาบาลเอกชนที่มีคุณภาพ จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของ THG คาดว่าจะดำเนินการได้ตามแผนภายใน 5-7 ปี
สำหรับโครงการที่จะพัฒนาในอาคารโซโหที่บริษัทซื้อสิทธิการเช่าที่ดินมาจาก บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) ในราคาราว 2.1 พันล้านบาทนั้น อยู่ระหว่างเตรียมพัฒนาปรับปรุงในเฟสแรกเพื่อเป็นศูนย์พักฟื้นหลังจากรับการรักษา เช่น การผ่าตัดใหญ่ เป็นต้น โดยจะรับคนไข้เข้ามาใช้บริการทั้งในเครือธนบุรีเอง และโรงพยาบาลนอกเครือ ซึ่งจะเน้นให้บริการด้วยที่มีต้นทุนต่ำกว่าการพักฟื้นในโรงพยาบาลกลางเมืองทั่วไป เป็นจุดแข็งในการทำตลาด คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้บางส่วนในปลายปี 61
หลังจากนั้น บริษัทจะพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริการในส่วนอื่น ๆ เพื่อรองรับทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก โดยเฉพาะบริการที่ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก และไม่ต้องลงทุนสูงมาก ซึ่งปัจจุบัน เครือโรงพยาบาลธนบุรีมีลูกค้าที่อยู่ในย่านเยาวราชเข้ามาใช้บริการราว 20% ของทั้งหมด และพื้นที่ดังกล่าวยังสามารถรองรับการใช้บริการของนักท่องเที่ยว ได้แก่ ศูนย์ทันตกรรม ศูนย์ผู้มีบุตรยาก ศูนย์เวลเนสให้บริการเช็คสุขภาพ เป็นต้น คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนปรับปรุงพื้นที่ทั้งหมดราว 1 พันล้านบาท
นายแพทย์ธนาธิป กล่าวว่า เครือโรงพยาบาลธนบุรี ถือว่ามีจุดแข็งในแง่ที่มีโรงพยาบาลในระดับ Tier2 และ Tier3 คือ มีขนาดเกินกว่า 400 เตียง สามารถรับรักษาโรคร้ายแรงที่ครบถ้วน ให้บริการผ่าตัดใหญ่ได้ทุกรูปแบบ และมีจำนวนห้องไอซียูเทียบเท่าโรงพยาบาลในระดับ Tier 1 แต่คิดค่ารักษาพยาบาลต่ำกว่า มีเครือข่ายพันธมิตรเป็นโรงพยาบาลที่ส่งตัวคนไข้มาให้รักษาค่อนข้างมาก ขณะที่หากเป็นเคสหนักที่เกินกว่าความสามารถของโรงพยาบาลในเครือ ก็จะส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลระดับต้น ๆ ของประเทศ ได้แก่ ศิริราช จุฬาลงกรณ์ และ รามา เท่านั้น