นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) ประเมินดัชนีหุ้นไทยปี 2561 จะขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All-Time High) พร้อมปรับเพิ่มดัชนีฯ เป้าหมายมาที่ 1,815 จุด จาก 1,766 จุด โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีหน้ายังปรับตัวขึ้นต่อ โดยดัชนีฯ เป้าหมายอยู่ที่ 1,815 จุด หนุนด้วยเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำและกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เติบโตได้ดี รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในบางไตรมาส
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาสแรกปี 61 มองว่า กรอบการเคลื่อนไหนของดัชนีฯจะอยู่ที่ 1,693-1,744 จุด มีค่าพี/อีราว 16.5-17 เท่า กลยุทธ์การลงทุนให้เน้นเลือกหุ้นรายตัว ที่อิงกับ 3 ธีมหลัก คือ หุ้นที่คาดหวังเงินปันผลได้สูง มีพี/อีไม่สูงมาก และแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโต คือ PTTEP และ INTUCH หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสการลงทุนรอบใหม่ คือ STEC, SEAFCO, WHA, TK และหุ้นที่เกาะกระแสไลฟ์สไตล์สังคมเมืองที่นิยมใช้เวลาอยู่นอกบ้านมากขึ้น คือ PLANB และ RS
ทั้งนี้ ในปี 61 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขยายตัวได้ในอัตรา 4.2% เทียบกับ 3.8% ในปี 60 รับแรงขับเคลื่อนมาจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป การลงทุนภาคเอกชนเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2560 หลังจากภาครัฐเร่งเดินหน้าการลงทุนไปก่อนหน้า การบริโภคครัวเรือนได้รับแรงกระตุ้นจากจากนโยบายภาครัฐ
ขณะที่เงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำไปจนถึงกลางปี 61 ซึ่งสอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชีย ยกเว้นฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว ที่เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในปี 61 หลังจากที่ปรับขึ้นในปี 60 แล้ว เช่น สหรัฐฯ และอังกฤษ
สำหรับกำไรสุทธิตลาดในปี 61 คาดไว้ที่ราว 1.11 ล้านล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 113.57 บาท เติบโต 14.5% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดไว้ 1.07 ล้านล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 110.4 บาท เติบโต 8.9% เทียบกับปี 2560 ที่คาดเติบโต 4.7% โดยกลุ่มธุรกิจที่จะเติบโตได้ดีในปีหน้า ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มสื่อ-บันเทิง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมองว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปตามโรดแมพที่รัฐบาลวางไว้ ซึ่งคาดว่าจะเป็นไปตามที่คาดไว้ และส่งผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ขณะเดียวกันยังต้องจับตาหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วย++++
“ปีหน้าเรามองเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ดี กำไรตลาดก็มองดีขึ้นกว่าเดิม ทำให้ดัชนีฯ เป้าหมายขยับขึ้นจาก 1,766 มาเป็น 1,815 ถือว่าเป็นการทำ All-Time High ของตลาดหุ้นไทย"นางภรณี กล่าว
นางภรณี กล่าวอีกว่า แม้ในปีหน้าหุ้นไทยมีโอกาสทำ All-Time High ขณะที่การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อพิจารณาจากมูลค่าหุ้น โดยใช้ พี/อีฯ ปี 61 ราว 16 เท่า พบว่าใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโลกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้หุ้นไทยอาจได้รับความน่าสนใจปานกลาง และหากดูผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย 2 ปี (59-60) รวมกัน สูงถึง 30% ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน โดยเป็นรองเพียงตลาดหุ้นสหรัฐฯเท่านั้น ดังนั้น แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีหน้า แม้จะปรับขึ้นต่อได้ แต่ก็มี upside จำกัด
ส่วน Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาตินั้น หลังสหรัฐฯ ใช้นโยบายการเงินตึงตัว โดยทยอยยกเลิกการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE) ตั้งแต่กลางปี 57 พร้อมทั้งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ปลายปี 58 และลดขนาดของสินทรัพย์ช่วงปลายปี 60 ทำให้ต่างชาติขายหุ้นไทยอย่างหนักและต่อเนื่อง จนยอดซื้อสุทธิสะสมลดลง จากที่เคยสูงสุดช่วงเดือน มี.ค.56 ที่ 4.69 แสนล้านบาท ลงมาเหลือเท่ากับศูนย์ในช่วงเดือน ม.ค.59 แต่หลังจากนั้นต่างชาติก็กลับมาซื้อสุทธิในปี 59 สูงสุดราว 1.48 แสนล้านบาท
ส่วนปี 60 เข้ามาซื้อช่วงปลายเดือน ส.ค.ต่อเนื่องถึงกลางเดือนตุลาคม ยอดซื้อสะสมสูงสุดกว่า 2.26 หมื่นล้านบาท และช่วงที่เหลือของปี 60 ขายสุทธิ และซื้อสลับขายจนถึงสิ้นปี คาดว่าจะทำให้มีฐานะเป็นขายสุทธิในปี 60 ราว 1.90 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ต่างชาติมีฐานะการถือครองหุ้นไทยเพียง 31.24% ใกล้ระดับต่ำสุดที่ 28.53% จึงมีโอกาสกลับมาซื้อสะสมรอบใหม่ ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่าจะกลับมาซื้อในช่วงไตรมาสแรก
การลงทุนในปี 61 มองว่าหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดประมูลในปี 61 มูลค่ากว่า 9.2 แสนล้านบาท และบริษัทเสาเข็มจะรับผลบวกเต็มที่ ก่อนส่งผ่านต่อบริษัทรับเหมาใหญ่ อีกทั้งหุ้นกลุ่มรับเหมาเฉพาะทางยังได้รับอานิสงส์ด้วย โดยแนะนำหุ้น SEAFCO และ STEC
กลุ่มธนาคาร จะมีแรงหนุนจากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น และจากการฟื้นตัวของธุรกิจ SME ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ได้ผ่านจุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3/60 ไปแล้ว โดยคาดว่ากำไรในกลุ่มธนาคารจะเติบโต 14% จากธุรกิจหลักและการตั้งสำรองลดลง โดยแนะนำหุ้น KBANK ,TMB และ KKP
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี มองว่าราคาน้ำมันในปี 61 จะอยู่ราว 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และประเมินค่าการกลั่นในปี 61 จะทรงตัวต่อเนื่องจากปีนี้ที่อยู่ราว 6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ดัชนีราคาถ่านหินขึ้นมาอยู่เหนือ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากความต้องการในจีนและอินเดียสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มพลังงานทดแทนจะได้รับผลบวกจากแผนการประมูล VSPP Semi-Firm โดยแนะนำหุ้น IRPC , IVL , GUNKUL และ BCPG
กลุ่มโรงแรมจะเติบโตตามภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่องและการเปิดโรงแรมใหม่ โดยรัฐบาลมีนโยบายให้เป็นปี 61 เป็นปีท่องเที่ยวไทย โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโต 7% จากปีนี้ มาที่ 37.5 ล้านคน อีกทั้งยังมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะออกมากระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย เช่น การลดหย่อนภาษีในการเที่ยวเมืองรอง โดยแนะนำหุ้น MINT ,ERW
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มองว่าปีหน้ายังมีความต้องการคอนโดมิเนียมอยู่ ทำให้มียอดขายพรีเซลเติบโตต่อเนื่อง และยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ในปีหน้าอีกจำนวนมาก อีกทั้งผู้ประกอบการยังเน้นทำการตลาดกลาง-บนเพื่อรองรับต่างชาติด้วย โดยคาดว่ากำไรสุทธิในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในปี 61 จะเติบโต 10% จากปีนี้ โดยแนะนำหุ้น AP และ SC
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม มองว่ามีการเติบโตได้ต่อ จากราคาที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เริ่มสูงขึ้นจากโครงการที่เข้ามาโดยภาครัฐ แต่กลุ่มนิคมฯจะได้รับประโยชน์เมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่คาดว่าจะจบในไตรมาสที่ 1/61 โดยแนะนำ WHA ,AMATA จากที่ดินเหลือขายมีจำนวนมาก