นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คงจะเงียบ ๆ ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส แต่คาดว่าน่าจะแกว่งตัวขึ้นได้ เนื่องจากได้แรงหนุนจากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และยังน่าจะมีการแรงเก็งกำไรจากการทำ Window Dressing ด้วย
นอกจากนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งก็น่าจะมีเรื่องมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ๆ ในต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองหลัก ซึ่งก็น่าจะช่วยหนุนตลาดฯได้บ้าง
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย โดยวันนี้มีเพียงไม่กี่ตลาดฯที่เปิดทำการ ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนจะเริ่มหยุดกันแล้วในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
พร้อมให้แนวรับ 1,738-1,740 ถัดไป 1,735 จุด ส่วนแนวต้าน 1,745-1,750 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 ธ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,754.06 จุด ลดลง 28.23 จุด (-0.11%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,683.34 จุด ลดลง 1.23 จุด (-0.05%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,959.96 จุด ลดลง 5.40 จุด (-0.08%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 6.65 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 0.85 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 9.37 จุด
ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ตลาดหุ้นมาเลเซีย ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันคริสต์มาส
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 ธ.ค.60) 1,742.08 จุด เพิ่มขึ้น 5.17 จุด (+0.30%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 771.71 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.61 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 ธ.ค.60) ปิดที่ระดับ 58.47 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 ธ.ค.60) ที่ 6.88 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.73 แนวโน้มแกว่งแคบ วอลุ่มเบาบาง มองกรอบวันนี้ 32.70-32.80
- ตลาดรถจักรยานยนต์โตเกินคาด มั่นใจยอดรวมปีนี้ 1.8 ล้านคัน หลังตลาดแข่งดุ แห่เปิดตัวดันยอดพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน หันใช้รถรองรับไลฟ์สไตล์-หนีปัญหาจราจร เผยรถครอบครัวกลุ่มราคาต่ำสุด สัดส่วนเพิ่ม "ยามาฮ่า" เชื่อปีหน้าเติบโตชัด คาด 3-5 ปีไทยได้เห็นรถพลังงานไฟฟ้า หลังพัฒนาสเปคเทียบเท่ารถเครื่องยนต์ 125 ซีซี
- นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า หากมีการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำเป็น 360 บาท จะกดดันให้ธุรกิจเอสเอ็มอีทุกประเภทอยู่ยากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ใช้เครื่องจักรกระจายอยู่ในทุกภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอาจกดดันให้บางส่วนอาจต้องปิดกิจการลง
- ศาลปกครองได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องสหภาพรัฐวิสาหกิจที่ยื่นฟ้องศาลให้กระทรวงการคลังยุติการดำเนินการตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF) วงเงิน 1 แสนล้านบาท ส่งผลให้คลังเดินหน้าเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องกังวลอีก
- รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เผยแผนงานของกระทรวงในปี 2561 จะเดินหน้าโครงการเน็ตประชารัฐที่ได้มีการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเสร็จในวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ครบจำนวน 2.47 หมื่นหมู่บ้าน โดยบริษัท ทีโอที ได้ทำระบบการให้บริการเน็ตประชารัฐแบบเปิด เพื่อให้ภาครัฐ ภาคเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ เข้ามาเชื่อมต่อให้บริการกับประชาชนได้
- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการหาแนวทางแก้ปัญหาและลดผลกระทบต่อค่ายรถยนต์ในประเทศ ตามที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายเพื่อกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (บีอีวี) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน จากที่ไทยจะลดภาษีนำเข้าเป็น 0% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.61
*หุ้นเด่นวันนี้
- กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ฟินันเซีย ไซรัส) คาดว่าการลงทุนภาครัฐฯจะเร่งตัวมากขึ้นในปี 61 จากชะลอในปี 60 โดยเฉพาะปลายปีที่เริ่มบังคับใช้ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ โดย Action Plan ของกระทรวงคมนาคมมีทั้งสิ้น 51 โครงการ 2.4 ล้านล้านบาท เป็นโครงการต่อเนื่อง 43 โครงการ และโครงการใหม่ 8 โครงการ เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้และสายสีส้มตะวันตก,รถไฟทางคู่เฟส 2,ทางด่วนพระรม 3-ดาวคะนอง,รวมถึง EEC ส่วนปัญหาวัตถุดิบและแรงงานคาดว่าจะกดดันต้นทุนน้อยลง ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มจะกลับมาโดดเด่น จึงให้น้ำหนักเป็น Overweight แนะนำ"ซื้อ"STEC (เป้า 31.80 บาท) จากงานในมือที่สูงและฐานะการเงินแข็งแกร่งสุดในกลุ่ม และ SEAFCO (เป้า 10.10 บาท) ในฐานะผู้นำตลาดฐานราก
- JWD (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 14 บาท รวมประโยชน์จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน AIMIRT และการลงทุนใหม่ในอินโดนีเซียเข้าไปในประมาณการ รวมถึงมองเชิงบวกมากขึ้นต่อธุรกิจขนส่ง จากผลตอบแทนมากกว่า 15% (รวมปันผล)จากราคาปิดล่าสุด ในแผนการขยายงานในธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตสูงอย่างโลจิสติก โดยในปี 61 มีแผนขยายไปเวียดนามเป็นประเทศที่ 6 ในอาเซียนจากแผนที่จะขยายเป็น 9 ประเทศในอาเซียน (ยกเว้นบรูไน) ภายในปี 63 ทั้งนี้กำไรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากกำไรพิเศษของการขายสินทรัพย์ในไตรมาส 4/2560 จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาในระยะสั้นที่สำคัญ
- PTT (ไอร่า) เป้า 496 บาท คาดปี 60 กำไรสุทธิ +17% อยู่ที่ 110,492 ล้านบาท ผลการดำเนินงานของ PTT มีความมั่นคง จากธุรกิจท่อส่งก๊าซ, โรงแยกก๊าซ และสถานีบริการน้ำมันเป็นหลัก นอกจากนี้ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือ เช่น PTTGC, PTTEP, TOP, IRPC และ GPSC เป็นต้น ซึ่งผลการดำเนินงานยังมีการเติบโตที่ดี คาดปี’60 มีกำไรสุทธิ 110,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% yoy หลักๆ มาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซที่เติบโตดี และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเติบโตจากการนำ PTTOR ซึ่งประกอบธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เบื้องต้นคาดสามารถนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปี 61