นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ในกลุ่ม บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (CGH) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับ Smartkarma ผู้ให้บริการงานวิจัยการลงทุนอิสระรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย เพื่อนำเสนอบทวิเคราะห์ให้สอดคล้องกับ MiFID II (The Markets in Financial Instruments Directive II : เกณฑ์กำกับดูแลเพื่อลดความเสี่ยงระบบ เพิ่มความโปร่งใสของตลาด และเพิ่มระดับปกป้องผู้ลงทุน) เป็นระเบียบใหม่ในยุโรปที่จะเริ่มใช้ในเดือน ม.ค.61 ซึ่งบริษัทสินทรัพย์ทั่วโลกต่างเตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติตามมาตรฐานนี้
ทั้งนี้ ระบบการวิจัยที่เป็นอิสระของ Smartkarma นับเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าสถาบัน นักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยลูกค้าของ CGS จะสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลข้อมูลเชิงลึกด้านการวิจัยในเอเชียซึ่งผลิตโดยนักวิเคราะห์อิสระกว่า 400 ราย
อีกทั้งบทวิเคราะห์ของ บล. คันทรี่ กรุ๊ป ที่ร่วมกับ Smartkarma ถือเป็นบทวิเคราะห์เกรดพรีเมี่ยม ลงรายละเอียดข้อมูลเชิงลึกจาก A. Stotz (แอนดรู สต๊อซ : ผู้ให้คำแนะนำและบริการจัดพอร์ตการลงทุนระดับสากล) ที่มีการจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาใช้ในการวิเคราะห์ตลาดทุนไทยได้อย่างอิสระตามวิธีการวัดมาตรฐานระดับโลก
"ลูกค้าของ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากข้อมูลเชิงลึกที่เป็นอิสระและมีคุณภาพสูงจากความร่วมมือของเรากับ Smartkarma และบทวิเคราะห์เชิงลึกของ A.Stotz ซึ่งถือเป็นโบรกเกอร์รายแรกของประเทศไทยที่พร้อมเข้าสู่ MiFID II อันเป็นเกณฑ์การปฏิบัติที่ดีที่สุดในโลก"นายธนโชติ กล่าว
ด้านนายราคาฟ กะปูร์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Smartkarma กล่าวว่า ทาง Smartkarma รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับบล.คันทรี่กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ฯ ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ MiFID II เป็นอย่างดี มีการบริหารจัดการระบบลูกค้าได้อย่างชัดเจนทำให้สะดวกต่อการนำเสนอข้อมูลงานวิจัยได้เหมาะสมต่อความต้องการ
"พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับ บล. คันทรี่ กรุ๊ป และเราก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับ A.Stotz Research ที่ สามารถรวมข้อมูลนี้เข้ากับการวิจัยไทยผ่านทางแพลตฟอร์ม Smartkarma เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดี"
ทั้งนี้ Smartkarma เพิ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนด้าน Series B จาก Sequoia Capital India ซึ่งเป็นหนึ่งใน บริษัทร่วมทุนด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลก โดยรูปแบบของ Smartkarma มีทั้งนักวิเคราะห์วิจัยอิสระและนักลงทุนสถาบัน มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วทั้งเอเชียและเพิ่งประกาศการขยายธุรกิจไปยังสหราชอาณาจักรและยุโรปโดยมีการเปิดสำนักงานในกรุงลอนดอนด้วย