นายนิติธร ดีอำไพ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ. ช ทวี (CHO) คาดว่าผลการดำเนินงานปี 61 จะพลิกกลับมามีกำไร ตามรายได้ที่คาดว่าจะแตะ 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากราว 1,500 ล้านบาทในปี 60 ตามปริมาณงานในมือ (backlog) เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีอยู่ 2,300 ล้านบาท และล่าสุดกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ซึ่งประกอบด้วยบริษัท และบมจ.สแกนอินเตอร์ (SCN) ได้งานจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 489 คัน รอบใหม่มูลค่า 4,261 ล้านบาท
แบ่งเป็น วงเงินจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ NGV จำนวน ประมาณ 1,891 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ฝ่ายละครึ่งหนึ่งกับ SCN โดยจะส่งมอบในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ค. 61 ส่วนที่เหลือเป็นวงเงินว่าจ้างซ่อมแซมและบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 10 ปี จำนวน 2,370 ล้านบาท
นอกจากนี้รายได้ในปีหน้ายังจะมาจากงานสัญญาเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์พร้อมอุปกรณ์ (E-Ticket) จำนวน 2,600 คัน จากทางองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) มูลค่าโครงการ 1,665 ล้านบาทด้วย
อย่างไรก็ตามส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 คาดจะพลิกมีกำไรจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และแม้ในช่วงไตรมาส 3/60 บริษัทก็สามารถทำกำไรสุทธิได้แล้ว แต่ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ยังมีผลขาดทุนสุทธิ 41.29 ล้านบาท ทำให้คาดว่าทั้งปี 60 น่าจะยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่
ด้านนายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ CHO กล่าวว่า งานจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ NGV ในงบลงทุนโครงการจำนวน 1,300 ล้านบาท ซึ่งแบ่งลงทุนคนละครึ่งกับ SCN นั้น ทางบริษัทได้สั่งนำเข้ารถจากพันธมิตรจีน BLK ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถ เป็นแบบ Semi Knockdown โดยเสียภาษีนำเข้าเฉลี่ย 40% และนำมาประกอบในส่วนระบบ เครื่องยนต์ เกียร์ ระบบก๊าซ และระบบแอร์ในไทย รวมราคารถคันละ 3.88 ล้านบาท/คัน ส่วนค่าซ่อมบำรุงในปีที่ 1-5 วันละ 925 บาท และปีที่ 6-10 วันละ 1,700 บาท ซึ่งจะเป็นรายได้ประจำระยะยาว
นอกจากนี้บริษัทเตรียมร่วมประมูลรถโดยสารใช้ระบบไฮบริดดีเซล เพราะขณะนี้มีความพร้อมเข้าร่วมประมูล ซึ่งจะร่วมกับฮีโน่ เพื่อดำเนินการ โดยปัจจุบันทางขสมก.ได้นำรถของฮีโน่ไปทดลองใช้อยู่
สำหรับงาน E-Ticket ที่บริษัทได้รับจากขสมก.นั้น ขณะนี้ได้ติดตั้งไปแล้ว 800 คัน และคาดว่าจะติดตั้งได้ครบ 2,600 คันในเดือน เม.ย.61 ซึ่งเสร็จก่อนกำหนดในเดือน พ.ค.61
l ส่วนความคืบหน้าการขายหุ้นเพิ่มทุน 539.88 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) และผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (RO) เพื่อนำเงินไปใช้ในโครงการ E-Ticket และศูนย์ซ่อมรถสิบล้อนั้น นายนิติธร คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ มากกว่า 1,000 ล้านบาท โดจะขายหุ้นเพิ่มทุน PP ล็อตแรก 118 ล้านหุ้น ให้กับ Macquarie Bank Limited ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจะเข้ามาถือในสัดส่วน 12% คาดระดมทุนได้ราว 200 ล้านบาท และอีกล็อตจะขายหุ้นเพิ่มทุน 115 ล้านหุ้น ซึ่งยังไม่กำหนด ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือ 306.88 ล้านหุ้น จะขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน ซึ่งต้องผ่านมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 9 ม.ค.61