นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซันสวีท (SUN) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจราคาเปิดการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันพรุ่งนี้ (28 ธ.ค.) เป็นวันแรก จะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ที่ 5.85 บาท/หุ้น หลังจากที่บริษัทได้เดินสายนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน (โรดโชว์) ใน 9 จังหวัด มีนักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับและมีความสนใจในแง่ของการลงทุนในหุ้นบริษัทอย่างล้นหลาม ประกอบกับมีนักลงทุนสถาบันในประเทศรายใหญ่ 2 ราย ได้ให้ความสนใจเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัท ซึ่งได้มีการติดต่อเข้ามาเพื่อรับฟังข้อมูลของบริษัท
การที่นักลงทุนสถาบันในประเทศให้ความสนใจนั้นเป็นเพราะการดำเนินธุรกิจของบริษัทมีความแตกต่างจากธุรกิจเกษตรรายอื่นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการผลิต มีการต่อยอดไปในผลิตภัณฑ์อื่นที่สร้างมูลค่าเพิ่ม และมีการส่งออกไปในหลากหลายประเทศทั้งหมด 70 ประเทศ โดยมีฐานลูกค้ากว่า 300 ราย ซึ่งเป็นจุดเด่นของการดำเนินธุรกิจที่บริษัทได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ในกลุ่มครอบครัวกิตติคุณชัย ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นรวมราว 70% จะไม่มีการขายหุ้นออกหลังจากที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยหุ้นทั้งหมดที่ทางกลุ่มครอบครัวกิตติคุณชัยอยู่จะติด silent period ตามที่กฏระเบียบของตลาดหลักทรัพย์กำหนด 6-12 เดือน และหลังจากที่พ้นจากช่วง silent period แล้ว ยังยืนยันว่าจะไม่ทิ้งหุ้น และเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับบริษัทต่อไป
“การเข้ามาระดมทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยืนยันว่าไม่ได้เข้ามาเพื่อการหาทางออกจากธุรกิจ แต่เป็นการเข้ามาเพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท และการบริหารจัดการด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเราใช้เวลา 7 ปี ในการเตรียมที่จะเข้าตลาดในครั้งนี้ และผมยืนยันว่าจะไม่มีการขายหุ้นออกแม้แต่หุ้นเดียว และอยากบอกกับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในหุ้น SUN ว่าอยากให้นักลงทุนเข้ามาร่วมธุรกิจด้วยกันพัฒนาธุรกิจเกษตรและอาหารให้มีการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมั่นใจว่าการลงทุนในหุ้น SUN นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะในด้านของผลตอบแทนจากเงินปันผล และยังเชื่อมั่นว่าในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันเข้าเทรดวันแรกนักลงทุนจะให้การตอบรับหุ้น SUN เป็นอย่างดี"นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า คาดว่ายอดขายจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เกิน 1.5 พันล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท โดยในปีนี้ได้ใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 100,000 ตัน/ปี จากกำลังการผลิตทั้งหมดที่ 150,000 ตัน/ปี ส่วนในปีต่อๆไปบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายเฉลี่ยเติบโต 10% ต่อปี
สำหรับปี 61 บริษัทตั้งเป้ายอดขายโต 10% และจะใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 ตัน/ปี พร้อมกับเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มสินค้าใหม่ที่เป็นรูปแบบการค้าปลีกเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันสินค้าของบริษัทจำหน่ายอยู่ในเซเว่น อีเลฟเว่น แม็คโคร กูเมร์ มาร์เก็ต เป็นต้น โดยสัดส่วนการขายปลีกจะเพิ่มเป็น 60% ในปีหน้า จาก 50% ในปีนี้ ส่วนที่เหลือจะเป็นสัดส่วนยอดขายจากการขายส่ง พร้อมกับจะมีสินค้าใหม่ในกลุ่มสินค้า Ready to eat ออกมาจำหน่าย จำนวน 2 อย่าง
"การขยายการขายแบบค้าปลีกเพิ่มขึ้นนั้นบริษัทมองว่าเป็นช่องทางและเป็นกลุ่มสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง และสามารถเข้าถึงลูกค้าและผู้บริโภครายย่อยได้โดยตรง อีกทั้งยังสามารถผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 61 สูงกว่า 19% ได้ ส่วนทางด้านต้นทุนข้าวโพดของบริษัทไม่มีความกังวลเพราะได้ทำสัญญากับเกษตรกรผู้ผลิตข้าวโพด (Contract Farming) ไว้ 100% โดยมีราคารับซื้ออยู่ในช่วง 4.50-5.50 บาท/กิโลกรัม ทำให้ต้นทุนราคาวัตถุดิบของบริษัทไม่มีความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ขณะที่ความผันผวนของค่าเงินที่บริษัทยังมีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 80% นั้น ไม่มีความกังวล เพราะได้มีการทำประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้แล้ว ทำให้ไม่มีผลกระทบมากนัก เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า"
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขาย IPO บริษัทฯ จะนำไปใช้ปรับปรุงเครื่องจักร จำนวน 100-200 ล้านบาท ใช้เพิ่มกำลังการผลิตข้าวโพดแช่แข็ง โดยเพิ่มกำลังการผลิตอีก 3 เท่า หรือ 3 เพิ่มขึ้น 3 ตัน/ชั่วโมง จำนวน 150 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะให้ในการบริหารสภาพคล่องและชำระคืนหนี้บางส่วน ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงเหลือต่ำกว่า 1 เท่า จาก 9 เดือนที่ 3.3 เท่า ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ