นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับขึ้นมาแรงก่อนหน้านี้ ทำให้มีความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐาน จึงได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ลงเหลือ 50% จากเดิม 60% และแนะนำให้ขายหุ้นใหญ่ ที่ราคาขึ้นมามากแล้ว รวมทั้งหุ้นที่ Upside เหลือน้อย หรือหุ้นที่ราคาเกินมูลค่าพื้นฐาน แล้วสลับมาลงทุนหุ้นที่ราคายัง Laggard กว่าตลาด เช่น SCC, SCB, UNIQ, IRPC, BANPU, BCH, SPALI เป็นต้น
ทั้งนี้ SET Index เริ่มมีอาการ “ยิ่งสูง ยิ่งหนาว" หลังจากเมื่อวานขึ้นไปทำ new high แต่สุดท้ายลงมาปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่ง ฝ่ายวิจัย ประเมินแล้วว่าอาจมีแรงขายทำกำไรเกิดขึ้น เพราะ 2 ปี ในช่วงปี 59-60 หุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงถึง 36% สูงสุดแห่งหนึ่งในเอเชีย เป็นรองแค่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนช่วงเดียวกันถึง 42%
โดยฝ่ายวิจัยฯศึกษาข้อมูลลึกลงไป พบว่าราคาหุ้นกลุ่มหลัก ๆ ปรับขึ้นมามากในช่วง 2 ปีนี้ เช่นกัน เช่น กลุ่มปิโตรเคมี ปรับขึ้นถึง 96% รองลงมาคือ ค้าปลีก ขึ้นมา 70%, พลังงาน บวก 65%, ขนส่ง บวก 60%, ธุรกิจการเงิน บวก 44%, ธนาคารพาณิชย์ และยานยนต์ บวก 36% แต่เมื่อพิจารณาหุ้นรายตัว ที่เป็นพระเอกของกลุ่ม ก็ขึ้นมาแรงเหมือนกัน เช่น IVL บวกแรง 152%, BEAUTY บวก 256%, COM7 บวก 216%, BJC บวก 81%, ESSO บวก 254%, PTT บวก 82%, PTTEP บวก 76% AOT บวก 98%, THAI บวก 90%, KKP บวก 118%, TISCO บวก 113%, KBANK บวก 56%, AH บวก 226% เป็นต้น
สำหรับกลุ่มที่ผลตอบแทนติดลบในช่วง 2 ปีนี้ คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ติดลบ 15% ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากช่วงกลางปี 59 ดัชนีกลุ่มฯขึ้นไปทำ new high แล้ว และเมื่อเข้าปี 60 การประมูลโครงการต่าง ๆ กลับล่าช้า เห็นได้ว่า STEC, CK, UNIQ, ITD หุ้นใหญ่กลุ่มนี้ ราคาปรับลงกันถ้วนหน้า