ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ทีทีซีแอล (TTCL) เป็น “BBB" จาก“BBB+" โดยการลดอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลการดำเนินที่อ่อนแอของบริษัท จำนวนงานใหม่ที่ได้รับน้อยลงและภาระหนี้ที่อยู่ระดับสูงเกินกว่าประมาณการ
อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้างแบบครบวงจร (Engineering, Procurement, and Construction -- EPC) ตลอดจนความสามารถในการรับเหมางานโครงการที่มีขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการมีภาระหนี้ที่อยู่ระดับสูงของบริษัท รวมถึงความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการในต่างประเทศ วงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และการแข่งขันที่รุนแรง
บริษัท ทีทีซีแอลก่อตั้งในปี 2528 จากการร่วมทุนระหว่าง บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) และ Toyo Engineering Corporation (TEC) ซึ่งเป็นบริษัท EPC ในประเทศญี่ปุ่น บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2552 ณ เดือนสิงหาคม 2560 TEC ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 10% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทเป็นผู้รับเหมางาน EPC ครบวงจรสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงโรงงานปิโตรเคมีและโรงกลั่น โรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ โรงผลิตปุ๋ย โรงกลั่นน้ำมันและแยกก๊าซ และโรงไฟฟ้า
บริษัทรับงานมูลค่าสูงและเติบโตจากงานในต่างประเทศ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากโครงการขนาดใหญ่ แต่บริษัทก็มีผลงานในอดีตที่เป็นที่ยอมรับในผลงานที่มีคุณภาพจากการมีลูกค้าที่มีความน่าเชื่อถือซึ่งรวมถึงบริษัทกลั่นน้ำมันและบริษัทปิโตรเคมีรายใหญ่หลายราย บริษัทได้ขยายธุรกิจไปสู่การเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการแข่งขันที่รุนแรง การขยายธุรกิจส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทมีภาระหนี้สูงขึ้นอย่างมาก
การลดอันดับเครดิตเป็นผลจากผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดของบริษัท บริษัทได้รับผลกระทบอย่างมากจากการชะลอการลงทุนของภาคเอกชน รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ทำได้เพียง 8,294 ล้านบาท ลดลงถึง 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง รายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560 และ 2561 ขณะที่รายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 20,000 ล้านบาทต่อปี รายได้ที่ลดลงเนื่องจากจำนวนงานใหม่ที่ลดลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้การเติบโตของบริษัทลดลงจากปริมาณงานที่ยังไม่ส่งมอบเหลือจำนวนน้อย
การปรับลดอันดับเครดิตยังเป็นผลจากสถานะทางการเงินที่อ่อนแอลงจากภาระหนี้ของบริษัทที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทมีภาระหนี้สูงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งเนื่องจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจรับเหมางานประเภท EPC โดยเฉพาะงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม บริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำ 5 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยพิจารณาจากรายได้และขนาดของสินทรัพย์ บริษัทสามารถรับงานขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น กาต้าร์ มาเลเซีย และเวียดนาม บริษัทได้ลดการดำเนินงานในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อมุ่งทำงานในประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงปี 2558 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีรายได้จากโครงการในต่างประเทศประมาณ 60% ซึ่งการกระจายความเสี่ยงของที่ตั้งโครงการช่วยเสริมสถานะอันดับเครดิตให้แก่บริษัท
การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทในการขยายไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าด้วย โดยการลงทุนในโรงไฟฟ้าช่วยให้บริษัทได้งานรับเหมาก่อสร้างและมีรายได้ต่อเนื่อง โครงการโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทคือโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาด 120 เมกะวัตต์ในเขต Ahlone เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา (โครงการ Ahlone) ซึ่งโครงการดังกล่าวมีต้นทุนก่อสร้างประมาณ 5,500 ล้านบาท ถึงแม้ว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขายไฟฟ้าจะไม่มาก แต่ก็สามารถสร้างผลกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวนมากเมื่อโครงการ Ahlone เริ่มสร้างรายได้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 EBITDA จากธุรกิจโรงไฟฟ้าคิดเป็น 68% ของ EBITDA ทั้งหมดของบริษัท หรือ ประมาณ 660 ล้านบาท
ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่อ่อนแอลงจากการกู้ยืมเพื่อขยายธุรกิจ โดยบริษัทก่อหนี้สูงขึ้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในโครงการขนาดใหญ่ซึ่งมีวงจรการสร้างกระแสเงินสดที่ยาวขึ้น และเพื่อใช้ลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งในปีนี้บริษัทซื้อหุ้นของบริษัท TTCL Power Holdings Pte. Ltd. เพิ่มเติมมูลค่ารวมประมาณ 1,800 ล้านบาท
บริษัทมีแผนลงทุนและก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศเมียนมา 2 โครงการ โดยแต่ละโครงการมีขนาด 1,280 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 100,000 ล้านบาทต่อโครงการ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเห็นว่าทั้ง 2 โครงการดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและขั้นตอนการดำเนินงานที่ล่าช้าของรัฐบาลเมียนมา อย่างไรก็ตาม หากโครงการดังกล่าวผ่านการอนุมัติก็จะทำให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
อันดับเครดิตยังถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการในต่างประเทศแม้ว่าจะมีข้อดีจากการกระจายความเสี่ยงของที่ตั้งโครงการก็ตาม หากการดำเนินโครงการล้มเหลวก็จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทแย่ลง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะผู้รับเหมาก่อสร้างต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทลดลงจนอยู่ในระดับต่ำกว่า 10%
บริษัทมีความอ่อนไหวตามวัฏจักรของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การชะลอการลงทุนของกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมีส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทลดลงอย่างมาก ในปี 2559 บริษัทแทบจะไม่ได้รับงานก่อสร้างใหม่เลย ขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทได้งานใหม่ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่าประมาณการและเป็นเหตุให้รายได้ในอนาคตของบริษัทลดลงอย่างรุนแรง ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) จำนวน 13,700 ล้านบาท ทั้งนี้ ตามสมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ามูลค่างานดังกล่าวจะทยอยรับรู้เป็นรายได้คิดเป็น 20% ในปี 2560 ของรายได้ของบริษัท คิดเป็น 48% ในปี 2561 คิดเป็น 28% ในปี 2562 และคิดเป็น 10% ในปี 2563
สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ต่ำกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 7.06% ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานซึ่งยังไม่รวมการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 2 โครงการในประเทศเมียนมา ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปีในปี 2560 และ 2561 เนื่องจากมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนน้อย รายได้จะกลับไปอยู่ที่ระดับ 17,000-20,000 ล้านบาทต่อปีในปี 2562 และ 2563 หากการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 7%-8% ในช่วงปี 2561-2563 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากรายได้จากโครงการ Ahlone ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทซึ่งรวมเงินจากรายได้และกระแสเงินสดตามข้อตกลงสัมปทานระยะยาวจากโครงการ Ahlone คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 500-1,000 ล้านบาทต่อปี
ในช่วงปี 2561-2563 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในช่วง 67%-70% สภาพคล่องของบริษัทเมื่อวัดจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมและอัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายแล้วคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น บริษัทจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ Ahlone ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้สูงขึ้น ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5%-10% และอัตราส่วนกำไรต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ระดับ 3 เท่าหรือสูงกว่า
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาด EPC ที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ บริษัทจะสามารถได้งานใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือที่ยังไม่ส่งมอบ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 7%-8% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่เกิน 70% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะบริหารสภาพคล่องอย่างระมัดระวังเพื่อใช้ชำระหนี้ที่จะถึงกำหนด
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเว้นแต่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะสูงกว่าประมาณการและภาระหนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะเดียวกัน อันเครดิตอาจปรับลดลงหากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอ่อนแอลงเกินกว่าประมาณการ หรือหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนสูงเกินกว่าระดับ 70% ในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง