นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อาม่า มารีน (AMA) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 นี้ จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี โดยบริษัทสามารถขนส่งสินค้าได้เต็มกองเรือทั้งหมดที่มีอยู่ 10 ลำ น้ำหนักบรรทุกรวม 82,961 เดทเวทตัน รวมถึงปรับขึ้นค่าขนส่งบางส่วนราว 10-15% ในช่วงเดือนก.ย.60 สะท้อนกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยมองว่าผลประกอบการรวมทั้งปี 60 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ว่ารายได้ จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% และกำไรสุทธิดีกว่าระดับ 143.91 ล้านบาทในปี 59
สำหรับทิศทางผลประกอบการปี 61 ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% โดยเตรียมงบลงทุนไว้ราว 948 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายกองเรืออีกอย่างน้อย 2 ลำ น้ำหนักบรรทุกลำละ 13,000 เดทเวทตัน ด้วยงบลงทุน 780 ล้านบาท และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเพิ่มเติม ซึ่งลูกค้ามีความต้องการใช้เรือขนาดใหญ่ที่น้ำหนักบรรทุก 17,500 เดทเวทตัน หากลูกค้าตกลงก็อาจจะซื้อเรือขนาดดังกล่าวเข้ามาเพิ่มอีก
นอกจากนี้ บริษัทจะขยายกองรถบรรทุกให้เพิ่มขึ้นอีก 30 คัน จากปัจจุบันมีกองรถบรรทุกอยู่แล้ว 150 คัน โดยจะใช้งบลงทุนราว 168 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาลูกค้าใหม่เพื่อที่จะรับขนส่งไบโอดีเซล (B100) เพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงต้นปี 61 ซึ่งหากได้ลูกค้ารายนี้เข้ามาเพิ่มเติมก็จะขยายจำนวนกองรถบรรทุกมากกว่าที่วางแผนไว้เบื้องต้น
ส่วนแผนการนำเรือขึ้นอู่เพื่อซ่อมบำรุงจำนวน 4 ลำ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาราว 40 วัน/ลำนั้น คาดว่าจะกระทบกับรายได้ให้หายไปราว 40 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะไม่ขายเรือออก เนื่องจากยังไม่มีเรือที่อายุครบ 30 ปี ขณะที่การลงทุนเพื่อขยายกองเรือใหม่เข้ามาเพิ่มเติมก็จะไม่กระทบตอบภาพรวมการเติบโตของผลประกอบการอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าปี 61 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% แม้ว่าในช่วง 9 เดือนของปี 60 จะมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 26.68% เป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับค่าเงินบาทเข็งค่าขึ้นส่งผลกดดันมาร์จิ้น แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปี 61 ค่าเงินบาทจะไม่เข็งค่ามากไปกว่านี้ ส่วนราคาน้ำมันก็จะไม่สูงไปกว่านี้ ขณะเดียวกันบริษัทก็จะปรับค่าขนส่งให้สะท้อนราคาน้ำมัน และซื้อประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันล่วงหน้าในสัดส่วนที่ 50% ของจำนวนที่ใช้จริงเพื่อรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นที่เหมาะสม
นายพิศาล กล่าวอีกว่า สำหรับความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียตะวันออก ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจีน อินเดีย และบังคลาเทศ ซึ่งในปี 61 จะเป็นเส้นทางหลักที่บริษัทใช้เดินทางขนส่งสินค้า ยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร
"เราขอยืนยันในเรื่องของผลประกอบการของเราว่าปี 60 ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน และปี 61 เราก็ได้มีทีมการตลาดออกไปหาลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่ลูกค้าเดิมของบริษัทก็ยังมีความต้องการใช้บริการเพิ่มเติม เราจึงเชื่อมั่นว่าจะยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของรายได้และกำไร"นายพิศาล กล่าว
นายพิศาล กล่าวว่า ส่วนแผนการเข้าซื้อกิจการ บริษัทยังคงศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงต้นปี 61 และการเข้าซื้อกิจการจะมีความเหมาะสมกับการลงทุน โดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ในเดือน เม.ย. 61 ซึ่งกิจการดังกล่าวเป็นกิจการที่เกี่ยวเนื่อง และมาช่วยสนับสนุนการเติบโต
สำหรับงบการซื้อกิจการยืนยันว่ายังมีเพียงพอ ด้วยเงินสดที่มีอยู่ในมือ ประกอบกับยังสามารถกู้ยืมจากสถาบันทางการเงินได้เพิ่มเติม เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพียง 0.88 เท่า ขณะที่บริษัทส่วนใหญ่ที่ประกอบกิจการเหมือนกับ AMA มี D/E สูงถึง 3 เท่า