ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ที่ระดับ “A-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทยและผลงานที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานในงานก่อสร้างสำหรับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทมีความยืดหยุ่นต่อการชะลอตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างจากการมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและปริมาณงานในมือที่ยังไม่ส่งมอบจำนวนมากและค่อนข้างหลากหลายด้วย
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากความเป็นไปได้ที่ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นจากโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นและการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัทด้วยเช่นกัน
STEC ก่อตั้งในปี 2505 โดยกลุ่มตระกูลชาญวีรกูลและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2535 บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีชื่อเสียงซึ่งให้บริการงานด้านวิศวกรรมและก่อสร้างแก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัทมาจากงานภาครัฐและอีกครึ่งหนึ่งมาจากงานภาคเอกชน หากแบ่งตามประเภทของโครงการแล้ว บริษัทมีรายได้จากงานก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานคิดเป็นสัดส่วนราวเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้รวม ตามด้วยงานก่อสร้างด้านพลังงาน (24%) งานก่อสร้างอาคาร (24%) และงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม (5%) อย่างไรก็ตาม สัดส่วนโครงสร้างรายได้ดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทอันเนื่องมาจากความเชี่ยวชาญในการรับงานวิศวกรรมและก่อสร้างได้หลากหลายประเภท รวมถึงการมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งด้วย บริษัทเป็นหนึ่งในสี่ของผู้รับเหมารายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในด้านของรายได้ บริษัทได้รับใบอนุญาตประเภทผู้รับเหมาชั้นหนึ่งจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาเพียงไม่กี่รายที่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นในการได้รับสิทธิเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ผลงานที่ได้รับการยอมรับทำให้บริษัทมีความสามารถมากเพียงพอที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการโครงสร้างพื้นฐานอีกหลายโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
บริษัทเพิ่งชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ 3 โครงการซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ให้เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยบริษัทชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองภายใต้รูปแบบการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (Public-private Partnership -- PPP) ซึ่งมีมูลค่าสัญญารวมทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาทโดยผ่านกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ซึ่งกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ประกอบไปด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) (ถือหุ้น 75%) บริษัท (15%) และ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) (10%) โดยบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบงานก่อสร้างโครงการทั้งสองซึ่งมีมูลค่างานก่อสร้างประมาณ 40,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทในฐานะหนึ่งในผู้ร่วมทุนของกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์จำเป็นจะต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่พอสมควรประมาณ 4,300 ล้านบาทสำหรับโครงการทั้งสอง อย่างไรก็ตาม กำไรที่ได้จากงานก่อสร้างโครงการทั้งสองจะเป็นแหล่งเงินหลักสำหรับส่วนทุนที่บริษัทจะต้องใช้ลงทุนในกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ดังนั้น ระดับการก่อหนี้ของบริษัทจึงไม่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทยังชนะการประมูลงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มอีกจำนวน 3 สัญญาซึ่งมีมูลค่าประมาณ 47,000 ล้านบาทภายใต้ชื่อกิจการร่วมค้าซีเคเอสทีอีกด้วย ทั้งนี้ กิจการร่วมค้าซีเคเอสทีมี บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 60% และอีก 40% บริษัทเป็นผู้ถือ แม้โครงการขนส่งมวลชนทั้ง 3 สายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัทในอนาคต แต่การรับงานก่อสร้างขนาดใหญ่พร้อมกันก็จะเป็นปัจจัยที่ท้าทายของบริษัทด้วยเช่นกัน
บริษัทได้เริ่มกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจการผลิตไฟฟ้าเพื่อป้องกันการลดลงของรายได้ในช่วงการชะลอตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยในเดือนสิงหาคม 2559 บริษัทได้ซื้อหุ้นจำนวน 2.78% ใน บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (ABCE) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศไทยโดยใช้เงินทั้งสิ้น 500 ล้านบาท และในเดือนพฤศจิกายน 2559 บริษัทได้ซื้อหุ้นจำนวน 10% ของ บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (TSE) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการพลังงานทดแทนต่าง ๆ โดยมูลค่าการซื้อหุ้นอยู่ที่ 880 ล้านบาท ต่อมาในช่วงปลายปี 2560 บริษัทได้ใช้เงิน 1,800 ล้านบาทเพื่อซื้อหุ้นจำนวน 1.88% ของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำในประเทศไทย
ทั้งนี้ การลงทุนอย่างต่อเนื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้ระดับการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากบริษัทมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจผลิตไฟฟ้าในอนาคต อย่างไรก็ตาม ขนาดของการลงทุนไม่น่าที่จะกระทบต่อสถานะทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 30,000 ล้านบาทภายในปี 2563 บริษัทมีมูลค่างานในมือที่ยังไม่ได้ส่งมอบขนาดใหญ่และกระจายตัวค่อนข้างดีจำนวนประมาณ 93,000 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2560 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ ทั้งนี้ มูลค่างานในมือดังกล่าวจะประกันรายได้ให้แก่บริษัทตามประมาณการรายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าถึงเกือบ 80%
อันดับเครดิตยังสะท้อนความยืดหยุ่นของบริษัทต่อการชะลอตัวของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอีกด้วย โดยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมาจากความสามารถในการทำกำไรที่เข้มแข็งของบริษัท แม้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทจะลดลงเป็นประมาณ 8% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จากระดับสูงสุดที่ 9.7% ในปี 2558 แต่ระดับความสามารถในการทำกำไรดังกล่าวก็ยังถือว่าสูงสำหรับผู้รับเหมาที่รับงานโครงการภาครัฐขนาดใหญ่
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยในอนาคตเนื่องจากสัดส่วนรายได้ที่มาจากโครงการภาครัฐจะเพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะยังอยู่เหนือระดับ 7.5% ซึ่งจะทำให้เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วง 15,000-20,000 ล้านบาทต่อปี
ความยืดหยุ่นของบริษัทยังเกิดจากการก่อหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำและการมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งอีกด้วย โดย ณ เดือนกันยายน 2560 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่เพียง 6.9% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำมาก ในขณะที่เงินส่วนทุนที่บริษัทจะต้องใช้ลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองบางส่วนจะมาจากกำไรที่ได้จากงานก่อสร้างโครงการทั้งสอง ทำให้ระดับการก่อหนี้ของบริษัทในอนาคตจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 40% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
สภาพคล่องของบริษัทมีความแข็งแกร่ง โดยบริษัทถือครองสินทรัพย์สภาพคล่องจำนวนมากเพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดอยู่ที่ประมาณ 5,600 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2560 นอกจากนี้ บริษัทยังมีอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินมูลค่ารวมกันประมาณ 4,100 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งสินทรัพย์สภาพคล่องจำนวนมากในปัจจุบันช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงิน
ทั้งนี้ สภาพคล่องที่เข้มแข็งดังกล่าวมาจากการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท โดยเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากเงินรับล่วงหน้าตามสัญญาก่อสร้างจากเจ้าของโครงการและเครดิตการค้าจากผู้จัดส่งวัสดุอุปกรณ์รวมถึงผู้รับเหมาช่วง ซึ่งการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพดังกล่าวทำให้ความต้องการเงินทุนภายนอกอยู่ในระดับต่ำ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า กระแสเงินสดของบริษัทเมื่อเทียบกับภาระหนี้น่าจะถดถอยลงจากระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานะสภาพคล่องของบริษัทคาดว่าน่าจะยังคงสอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน
ความผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูงยังคงเป็นปัจจัยลดทอนอันดับเครดิตของบริษัท โดยปัจจัยทั้งสองกระทบต่อความมั่นคงของรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทน่าจะยังคงสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและคงความสามารถในการประมูลงานและดำเนินโครงการให้สำเร็จเอาไว้ได้ นอกจากนี้ บริษัทน่าจะยังคงสามารถรักษาระดับการทำกำไรและสภาพคล่องเอาไว้ได้ในช่วงที่มีงานก่อสร้างขนาดใหญ่ และโครงสร้างเงินทุนก็คาดว่าจะยังคงเข้มแข็งแม้จะมีแนวโน้มที่ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม
อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทสามารถสร้างรายได้และกระแสเงินสดได้สูงกว่าประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากความล่าช้าของโครงการและต้นทุนโครงการที่สูงเกินประมาณการ