นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซันสวีท (SUN) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า แนวโน้มอัตรากำไรสุทธิปี 61 มีทิศทางที่จะปรับตัวสูงขึ้นกว่า 8% จากปี 60 ที่คาดว่าจะทำได้ที่ระดับ 7-8% เนื่องจากบริษัทเน้นการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพจากการนำเครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีทันสมัยมาช่วยในการผลิต ประกอบกับ การระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ครั้งที่ผ่านมา บริษัทได้นำเงินประมาณ 50 ล้านบาท มาชำระคืนหนี้ระยะยาวบางส่วน สามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ราว 3 ล้านบาท/ปี
ด้านรายได้ในปี 61 ตั้งเป้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 1.2-1.5 แสนตันข้าวโพด สูงกว่าปีก่อนที่ผลิตได้ 1 แสนตันข้าวโพด โดยบริษัทมีความเข้มแข็งด้านวัตถุดิบที่จะนำเข้ามาผลิต จากการที่ได้ทำสัญญากับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด (Contract Farming) ให้ปลูกข้าวโพด 200-300 ไร่/วัน ในพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด 7-8 จังหวัด เพื่อให้มีวัตถุดิบเข้ามาสู่กระบวนการผลิตทุกวัน และมีราคาคงที่ 4.50-5.50 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ต้นทุนด้านวันถุดิบของบริษัทมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ หลังจากที่ได้เปิดตัวข้าวโพดหวานปิ้งพร้อมรับประทานในประเทศไทยช่วงเดือน ต.ค. 60 ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค บริษัทจึงเตรียมที่จะส่งออกไปขายยังประเทศเกาหลี และญี่ปุ่นเพิ่มเติมในปีนี้ พร้อมกันนี้ได้เตรียมออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Ready to eat เกี่ยวกับข้าวโพด จำนวน 2 ชนิด ขณะเดียวกันก็ศึกษาการผลิตสินค้า Ready to eat ในพืชชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น มันหวาน ซึ่งจะมาช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
สำหรับภาพรวมตลาดข้าวโพดในประเทศไทยในปัจจุบัน บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ราว 20-25% จากกำลังการผลิตรวม 4-5 แสนตัน/ปี ซึ่งบริษัทฯถือว่าอยู่ใน 3 อันดับแรกของประเทศ และเชื่อว่าจะยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยบริษัทคาดว่าสัดส่วนการขายในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากปีก่อนอยู่ที่ 20% ขณะที่ตลาดต่างประเทศคาดจะมีสัดส่วนรายได้ราว 75% ลดลงจาก 80% ในปีก่อน เนื่องจากตลาดในประเทศเติบโตได้ค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังมุ่งมั่นที่จะขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง และมุ่งเน้นไปยังประเทศที่สามารถจำหน่ายในราคาที่ให้มาร์จิ้นสูงมากขึ้น
นายองอาจ กล่าวว่า สำหรับราคาหุ้น SUN ที่ต่ำกว่าราคาจองนับตั้งแต่การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันแรกที่ 5.85 บาท/หุ้นนั้น มองว่าเป็นผลมาจากช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีหุ้นเข้าซื้อขายทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ mai เป็นจำนวนมาก และเป็นช่วงใกล้วันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเชื่อมั่นในพื้นฐานการเติบโตในอนาคต และจะมุ่งมั่นผลักดันให้ผลประกอบการออกมาดีต่อเนื่อง