นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการสนับสนุนของ BOI ที่จะสนับสนุนการลงทุนเพื่อปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติมาแทนของเดิม โดยให้สิทธิ์ประโยชน์ด้านภาษี โดยหากเป็นการลงทุนที่มีสัดส่วนการทำงานในประเทศไทยเกิน 30% ของมูลค่าโครงการ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ 100% ของมูลค่าโครงการ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 ถึงสิ้นปี 2563 ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านระบบอัตโนมัติอย่างกว้างขวาง โดยขณะนี้มีลูกค้ากลุ่มงานเครื่องจักรและระบบผลิตอัตโนมัติในกลุ่มที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มงานด้านระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Warehouse Automation) ได้ติดต่อทางบริษัทฯ เพื่อประเมินราคาไว้เตรียมการลงทุนในปีนี้ มีมูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท ทำให้คาดการณ์ว่ายอดขายในปี 61 มาจากลูกค้าใน 2 กลุ่มนี้เป็นหลัก หลังจากที่บริษัทฯได้มองเห็นโอกาสและขยายเข้าไปในกลุ่มธุรกิจนี้มากขึ้น
สำหรับยอดขายรวมในปี 61 บริษัทฯตั้งเป้าเติบโตไม่น้อยกว่า 7% เมื่อเทียบกับปี 2560 โดยคาดว่าอุสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจะยังทรงตัว ขณะที่ในต่างประเทศจะมียอดขายมาจากสาขาที่ประเทศอินเดียและจากการที่ขายส่งออกตรงไปที่ลูกค้าจากไทยด้วย โดยคาดว่ายอดขายที่อินเดียจะเติบโตสูงกว่า 15% และในส่วนของการส่งออกตรงไปต่างประเทศนั้น คาดว่าลูกค้าจะยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ โดยสัดส่วนรายได้ในปี 61 แบ่งเป็น 1.กลุ่มเครื่องจักรและระบบการผลิตอัตโนมัติรวม 90% แยกเป็น ในอุตสาหกรรมยานยนต์ 65% และนอกอุตสาหกรรมยานยนต์ 25% และ 2. กลุ่มงานระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ 10% ซึ่งอยู่นอกอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด
นายนรากร กล่าวว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นประมูลงานใหม่ในไตรมาส 1/61 มูลค่ากว่า 150 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทราบผลประมาณไตรมาส 2/61 ทั้งนี้ บริษัทฯยังมีงานที่ยื่นประมูลไปแล้วและคาดว่าจะทราบผลภายในไตรมาส 1/61 อีกประมาณ 50 ล้านบาท โดยหากได้รับงานดังกล่าวเข้ามาจะทำให้มูลค่างานในมือเพิ่มขึ้น