โบรกเกอร์เล็งเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 61 ไว้ในช่วง 1,760-1,920 จุด เทรด P/E คิดเป็น 14.8-17.7 เท่า โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ในปี 2561 จะเติบโตในช่วง 9.0-13%
ทิศทางตลาดหุ้นไทยปีนี้ (2561) มีโอกาสที่จะผันผวน โดยในเดือน ม.ค.คาดว่าตลาดฯจะย่อตัวลงก่อน จากแรงขายจากกองทุน LTF-RMF ครบกำหนดไถ่ถอนหน่วยลงทุน ซึ่งในปี 59 มีแรงขายออกมากว่าหมื่นล้านบาท จากนั้นตลาดฯ จะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า Fund Flow จะไหลเข้ามาหรือไม่
ปัจจัยที่น่าจับตาเป็นเรื่องของการเลือกตั้งของไทยว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อไร ซึ่งเศรษฐกิจไทยในปีนี้มองว่าน่าจะดีขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาคเอกชน, การลงทุนของภาคเอกชน-ภาครัฐฯ รวมไปถึงการส่งออกที่น่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ติดตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)
ส่วนปัจจัยนอกประเทศที่จะต้องติดตามในปี 61 คือตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ, การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), การปรับลดงบดุลของสหรัฐฯ นอกจากนี้ก็ให้ติดตามสถานการณ์ในเกาหลีเหนือและตะวันออกกลางด้วย รวมถึงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของจีนจะมีเสถียรภาพหรือไม่
หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในปี 61 โบรกเกอร์ต่างเห็นพ้องกันว่าน่าจะเป็นหุ้นพวก Domestic plays แต่ก็ควรจะรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง อย่างกลุ่มแบงก์, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มสื่อสาร รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ EEC ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี ก็น่าสนใจลงทุน
โบรกเกอร์ เป้าดัชนี P/E Earning Growth (จุด) (เท่า) (%) ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) 1,920 16.0 9.2 เคที ซีมิโก้ 1,810 16.5 10 ฟิลลิป (ประเทศไทย) 1,760 15.5 13 ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) 1,875 15.0 12 ทรีนีตี้ 1,815 14.8 11 เคทีบี (ประเทศไทย) 1,837 17.7 9.0
*KTZ ตั้งเป้าดัชนีฯปี 61 ไว้ที่ 1,810 จุด พร้อมให้จับตาประเด็นการเลือกตั้ง
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ (KTZ) มองเป้าหมายตลาดหุ้นไทยในปี 61 ดัชนีฯที่ 1,810 จุด คิดเป็น P/E 16.5 เท่า และคาดว่าการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth)ในปี 61 จะเติบโตประมาณ 10%
ในเดือน ม.ค.คาดว่าตลาดฯจะย่อตัวลงก่อนจากแรงขายของกองทุน LTF และ RMF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกมา โดยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีแรงขายออกมากว่าหมื่นล้านบาท จากนั้นตลาดฯจะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า Fund Flow จะไหลเข้ามาหรือไม่
ปัจจัยนอกประเทศที่จะต้องติดตามในปีนี้คือตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพราะถ้าหากเงินเฟ้อสูง โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเดิมก็เป็นไปได้ นอกจากนี้ ก็ให้ติดตามสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีและตะวันออกกลาง รวมถึงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของจีนจะมีเสถียรภาพหรือไม่
ส่วนบ้านเราคงจะต้องติดตามประเด็นการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้ง
ขณะที่หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้หาก Fund Flow ไหลเข้ามาก็ยังมองเป็นหุ้นบิ๊กแคป ทั้งกลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี, แบงก์ และค้าปลีก ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้างแม้จะยัง Laggard แต่คงต้องรอให้เห็นผลกำไรชัดเจนก่อน เพราะหลายตัวได้เล่นเก็งกำไรจากการงานประมูลไปแล้ว อีกทั้งก็ต้องรอรัฐฯจะมีโครงการประมูลใหม่ออกมาอีกหรือไม่
*PST มองเป้าดัชนีฯปี 61 ไว้ที่ 1,760 จุด เล็งกลุ่มแบงก์-รับเหมาฯ-ค้าปลีก น่าสนใจลงทุน
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) หรือ PST กล่าวว่า ได้มองเป้าหมายดัชนีฯที่ 1,760 จุด คิดเป็น P/E 15.5 เท่า และการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ประมาณ 13% แม้ขณะนี้ดัชนีฯจะปรับขึ้นมาเหนือระดับเป้าหมาย แต่เชื่อว่าต้นปีอาจจะย่อตัวลง และหากมีปัจจัยที่ทำให้ตลาดฯมี Sentiment บวกได้มากกว่านี้ก็มีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายดัชนีฯขึ้นไปจากนี้อีก อย่างเช่น ถ้าการเลือกตั้งออกมาชัดเจนและป็นข่าวดีมาก ๆ รวมถึงเศรษฐกิจโลกดูดี เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่จะต้องติดตามในปี 61 ยังเป็นเรื่องเสถียรภาพของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ซึ่งสหรัฐฯจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในปีหน้า โดยจะมีการปรับเปลี่ยนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา นอกจากนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีและตะวันออกกลางด้วย
หุ้นที่น่าลงทุนในปีนี้เป็นกลุ่มแบงก์ เพราะเมื่อเศรษฐกิจเติบโตดีกลุ่มแบงก์จะได้ประโยชน์, กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จากแรงขับเคลื่อนโครงการของภาครัฐฯ และกลุ่มค้าปลีกจากการบริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น
*UOBKH เล็งเป้าดัชนีฯปีหน้า 1,920 คาดหวังเศรษฐกิจโลกดี, เชียร์กลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ-แบงก์
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) หรือ UOBKHกล่าวว่า ปีนี้(2561) มีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยให้เป้าหมายดัชนีฯไว้ที่ 1,920 จุด คิดเป็น P/E 16 เท่า และรเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ประมาณ 9.2% เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีโอกาสที่จะดี ทำให้หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจดีกลับมาดีขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี
ส่วนเศรษฐกิจในประเทศก็น่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ก็มีโอกาสที่จะมีการปรับเพิ่มประมาณการกลุ่มแบงก์ ทำให้มองว่าปีนี้หุ้นที่น่าสนใจลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี อย่างหุ้น PTT, IVL, IRPC ส่วนกลุ่มแบงก์ก็แนะนำหุ้น BBL, KBANK และกลุ่มค้าปลีก ก็น่าจะได้รับผลดีจากการบริโภคที่ดีขึ้น แนะนำหุ้น CPALL, ROBINS นอกจากนี้กลุ่มท่องเที่ยวก็น่าจะดี จากการท่องเที่ยวที่ยังดีอยู่ แนะนำ ERW รวมถึงยังแนะนำหุ้น STEC, AMATA อีกด้วย
ปัจจัยนอกประเทศที่จะต้องติดตามเป็นเรื่องการลดงบดุลของสหรัฐฯ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้จะเป็นผลบวกต่อการลงทุน แต่จะทำให้ตลาดตราสารหนี้เป็นลบ จากเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่า และนักลงทุนก็จะเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
*TNITY เชียร์ Domestic plays ขานรับศก.ไทยฟื้นตัว
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ (TNITY) กล่าวว่า เป้าหมายดัชนี SET ปี 61 ไว้ที่ 1,815 จุด บนสมมติฐานกำไรของปี 62 ที่คาดว่า Earning Growth จะเติบโต 10% จากปี 61 คาดว่าจะเติบโต 11% โดยทิศทางตลาดฯในช่วงครึ่งปีแรกมองว่าราคาน้ำมันยังคงยืนในระดับสูง และสภาพคล่องทั่วโลกก็ยังสูงจากที่ธนาคารกลางของหลายชาติคงจะไม่รีบเข้มงวดนโยบายการเงิน ซึ่งเงินดอลลาร์สหรัฐฯอาจไม่แข็งค่าอย่างมีนัย นอกจากนี้ ให้ติดตามสถานการณ์ในเกาหลี, ซาอุดิอาระเบีย, ยุโรป และจีน ซึ่งปีนี้จะมีการเลือกตั้งในอิตาลีด้วย
ด้านเศรษฐกิจไทยมองเป้าหมาย GDP เติบโต 4% ในปี 61 โดยความน่าสนใจอยู่ที่การส่งออก, การท่องเที่ยว ที่ยังดีอยู่ ส่วนการบริโภค และการลงทุนก็น่าจะมีบทบาทมากขึ้นในปีนี้ จากรายได้เกษตรกรที่ดีขึ้น อันเป็นผลจากราคาเกษตรดีขึ้น ซึ่งมองว่าปีนี้ระดับฐานรากจะฟื้นตัวได้มากขึ้น
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้ ยังมองเป็นหุ้นพวก Domestic plays ทั้งกลุ่มแบงก์, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสื่อสาร จากที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว
*KTBST มองทิศทางตลาดหุ้นไทยปีนี้ผันผวน พร้อมให้จับตาการเลือกตั้งของไทย
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปีนี้มองว่ายังมีความผันผวนอยู่ ในช่วงไตรมาส 1/61 น่าจะมีโอกาสที่ดัชนีฯจะปรับตัวขึ้นมากกว่า แต่ในระหว่างทางอาจมีความผันผวนเกิดขึ้นซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ปีนี้ปัจจัยที่น่าจับตาเป็นเรื่องของการเลือกตั้งของไทยว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อไร
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปีหน้ามองว่าน่าจะดีขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาคเอกชน, การลงทุนของภาคเอกชน-ภาครัฐฯ ที่น่าจะดีขึ้นด้วย รวมไปถึงการส่งออกที่น่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ติดตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)
หุ้นที่น่าสนใจลงทุนในปีนี้เป็นกลุ่ม Domestic plays แต่ก็ควรจะรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง อย่างกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะ KBANK, กลุ่มท่องเที่ยว AOT CENTEL, กลุ่มค้าปลีก CPALL และก็ยังน่าสนใจหุ้น THANI ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงการ EEC ก็น่าลงทุนในหุ้น AMATA, WICE เป็นต้น