น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่ายังมี Sentiment ในเชิงบวกอยู่ต่อเนื่องจากวานนี้ โดยปัจจัยหลักมองราคาน้ำมันที่ขยับขึ้นต่อเนื่อง น่าจะยังช่วยหนุนกลุ่มพลังงานอยู่ แต่ว่าการปรับตัวขึ้นไปอาจมาพร้อมความผันผวนที่มากขึ้น โดยมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันออกมาพร้อมกันต่อเนื่องเป็นวันที่สามติดต่อกัน สะท้อนภาพว่านักลงทุนกลุ่มหลักยังไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาเพิ่มในตลาด ดังนั้น อาจทำให้ดัชนีฯมี Upside จำกัด และยังต้องลุ้นความผันผวนระหว่างวันว่าจะทำให้ดัชนีฯปิดยืนเหนือ 1,800 จุดได้อีกครั้งหรือไม่
"ทั้งนี้ มองว่าถ้าดัชนีฯสามารถปิดได้เหนือ 1,800 จุดจะทำให้มีความกังวลเรื่องการปรับฐานแรง ๆ ของตลาดน้อยลง แต่ถ้ายืนไม่ได้ น่าจะอยู่ในช่วง Sideway ถึง Sideway Down" น.ส.ธีรดา กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ โดยให้นักลงทุนเลือกหุ้นรายตัวเพื่อเก็งกำไร “ขึ้นขาย-ลงซื้อ" ตามกรอบ เนื่องจากดัชนีฯขึ้นมาค่อนข้างมาก พร้อมยังต้องติดตามการประกาศผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะเริ่มทยอยออกมาในช่วงนี้ โดยให้ดูเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) การเติบโตของสินเชื่อ และรายได้ ว่าโบรกเกอร์ต่างๆ จะปรับประมาณการผลประกอบการของกลุ่มธนาคารในระยะต่อไปหรือไม่
พร้อมให้กรอบแนวรับ 1,790 จุด ส่วนกรอบแนวต้าน 1,810 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ม.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,574.73 จุด พุ่งขึ้น 205.60 จุด (+0.81%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,767.56 จุด เพิ่มขึ้น 19.33 จุด (+0.70%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,211.78 จุด เพิ่มขึ้น 58.21 จุด (+0.81%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 9.23 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.46 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 177.66 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 8.18 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 11.96 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 14.87 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 8.13 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 ม.ค.61) 1,802.80 จุด เพิ่มขึ้น 7.88 จุด (+0.44%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,133.62 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ม.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 ม.ค.61) ปิดที่ระดับ 63.80ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 ม.ค.61) ที่ 5.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิดหลุด 32 มาที่ 31.94 แข็งค่ากว่าภูมิภาคจากเงินไหลเข้า-ดอลล์อ่อน
- สมาคมตลาดตราสารหนี้ชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยดี เปรียบเหมือน"เซฟเฮฟเว่น"ดึงเงินไหลเข้า เผย 7 วันเข้าตลาดบอนด์กว่า 5.7 หมื่นล้านบาท ดันบาทแข็งต่อเนื่อง แตะระดับ 31.93 ต่อดอลลาร์ ด้าน สรท.เตรียมหารือ"แบงก์ชาติ"วันนี้ขณะสมาคมผู้ส่งออกข้าวห่วงกระทบรายได้ ด้านนักวิเคราะห์ชี้มีโอกาสแตะ 30 บาทต่อดอลลาร์
- "สมคิด"เยือน"บีโอไอ"โฟกัสดึงลงทุน ตั้งเป้า 6 แสนล้าน เน้นพื้นที่ "อีอีซี" วางแพลนจัดสัมมนาใหญ่ประจำปีช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.นี้ จีบ CEO ทั่วโลกร่วมงาน หวังดึงการลงทุนครั้งใหญ่
- รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ทำแผนออกพันธบัตร ธปท.ปี 2561 หลังประเมินแนวโน้มสภาพคล่องและปัจจัยสำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะแผนการระดมทุนของภาครัฐ ภาวะตลาดพันธบัตร และความเห็นของผู้ร่วมตลาดแล้วรวมวงเงินการออกพันธบัตร ธปท.ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1.6-5.03 ล้านล้านบาท
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้ คือค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าผันผวน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าถึง 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลทำให้มูลค่าทางเศรษฐกิจหายไป 1 แสนล้านบาท มีผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ลดลง 0.7% ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้าลงจะส่งผลต่อการบริโภคในประเทศ รวมถึงความไม่มั่นใจ ต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ จึงต้อง การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลรักษาค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ
- รฟม.เผยเอดีบีให้ปรับเงื่อนไขประมูลสายสีม่วงใต้ไม่ต้องมีเอกชนไทยในกิจการร่วมค้า พร้อมเข้มบริษัทที่ถูกแบล๊กลิสต์ คาดสรุปผลเจรจาได้ในเดือนนี้ เร่งหารืออัยการฟ้องเบสท์รินเอาเมล์เอ็นจีวีออกนอกพื้นที่
*หุ้นเด่นวันนี้
- PCSGH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 13 บาท คาดกำไรสุทธิ Q4/60 ที่ 160 ลบ. ชะลอเล็กน้อย Q-Q ตามฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น 16% Y-Y จากกำลังการผลิตที่ยังทรงตัวในระดับสูงราว 80% และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของชิ้นส่วนกลุ่ม Non-Auto ถ้าเป็นตามคาดจะหนุนกำไรปี 2560 เพิ่มขึ้น 69% Y-Y อยู่ที่ 645 ลบ. โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตต่อเนื่องอีก 22% Y-Y อยู่ที่ 790 ลบ. ในปี 2561 จากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และเริ่มรับรู้กำไรของโรงงานในยุโรปตั้งแต่ 2H61 ราคาปัจจุบันคิดเป็น PE2561 เพียง 16 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 20 เท่า และปันผลสูง 5% ต่อปี
- PTTEP (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 106 บาท เป็นหุ้นที่เป็นตัวแทนของราคาน้ำมัน จาก Sensitivity พบว่าราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทุก 1 เหรียญต่อบาร์เรล จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการปี 2561 ประมาณ 5% และราคาเป้าหมาย 2 บาทต่อหุ้น การปรับขึ้นของราคาน้ำมันในช่วง 2H60 ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงาน 4Q60 คาดทำจุดสูงสุดของปีที่ผ่านมา แรงส่งผลประกอบการจะต่อเนื่องไปใน 2561 พร้อมคาดกำไรสุทธิ Q4/60 เท่ากับ 10,878 ล้านบาท พลิกจาก -872 และ -8,682 ล้านบาท ใน Q4/59 และ Q3/60 ตามลำดับ ผลจากกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น และรายการพิเศษ FX สุทธิเป็นบวกใน Q4/60
- TOP (ไอร่า) เป้า 125 บาท คาด 4Q/60 โดดเด่นจากกำไรสต็อกน้ำมัน คาดกำไรสุทธิ 7,321 ล้านบาท โต yoy แต่อ่อนลงเล็กน้อยจาก 3Q/60 ตามค่าการกลั่น แต่ยังกำไรสต็อกน้ำมันใกล้เคียง 3Q/60 ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีทรงตัว แต่ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นอ่อนตัวลงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ 2,100 ล้านบาทต่อปี ปี 61 รับปัจจัยหนุนโครงการเพิ่มกำไรจากการใช้น้ำมันดิบชนิดใหม่ และการปรับปรุงระบบจัดการการกลั่น คาดกำไรสุทธิ 19,631 ล้านบาท