นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการสรรหาที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เพื่อเตรียมความพร้อมและเตรียมตัวสำหรับการเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนอย่างเร็วสุดในช่วงปลายปีนี้ แต่ยังขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นที่เหมาะสมในช่วงนั้นด้วย โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้สำหรับการซื้อที่ดินรองรับพัฒนาโครงการในอนาคต
ด้านแผนงานในปี 61 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม Low rise จำนวน 3 โครงการ คอนโดมิเนียม High rise จำนวน 2 โครงการ และจะเป็นปีแรกที่จะเปิดโครงการแนวราบ ซึ่งจะเป็นโครงการบ้าน 1 โครงการ และวิลล่าหรู 1 โครงการ โครงการที่จะเปิดในปีนี้จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลทั้งหมด ซึ่งบริษัทมีที่ดินรองรับทั้งหมดแล้ว โดยส่วนใหญ่คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 2/61
บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ระดับ 8 พันล้านบาท สูงขึ้นจาก 5.5 พันล้านบาทในปีก่อน หลังจากที่บริษัทขยายฐานลูกค้าออกไปในกลุ่มระดับบน เพื่อทำให้มีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น จากปัจจุบันที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ระดับราคา 1.5-3 ล้านบาท อีกทั้งยังคงให้ความสำคัญต่อการทำตลาดต่างประเทศด้วย โดยยังคงมีการขายในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติในปจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และตั้งเป้าภายใน 1-2 ปีข้างหน้า (ปี 62-63) จะมีสัดส่วนยอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มเป็น 45% จากปัจจุบันอยู่ที่ 40%
ขณะที่คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตมากขึ้นมาที่ 5.1 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 715 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้จะโอนโครงการมากถึง 5 โครงการ มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 7.5 พันล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 5 พันล้านบาท ส่งผลให้รายได้โตก้าวกระโดดหลังจากที่เริ่มเปิดดำเนินงานเพียงระยะเวลา 3 ปีครึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทจะเป็นกลุ่มระดับกลาง-ล่าง แต่ก็ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพราะบริษัทให้คำแนะนำกับลูกค้าในแง่การเตรียมความพร้อมของลูกค้า และมีการเก็บเงินดาวน์ไนอัตราที่สูงถึง 15% ทำให้อัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทมีอัตราที่ต่ำเพียง 2% และจะคุมให้ไม่เกินระดับดังกล่าว
นายธนากร กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ที่ระดับ 5 พันล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการในปี 62 และปีต่อ ๆ ไป โดยปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาอยู่ทั้งหมดมากกว่า 10 แปลง ซึ่งในปี 62 บริษัทคาดว่าจะมีมูลค่าโครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้น 30% จากปีนี้ โดยแหล่งเงินทุนที่ใช้ปัจจุบันมาจากกระแสเงินสดที่มีมากกว่า 1 พันล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ส่วนแผนการพัฒนาโครงการร่วมทุนในปีนี้คาดว่าจะมี 1 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างชาติรายใหม่ จากก่อนที่บริษัทมีโครงการร่วมทุนกับกลุ่ม Hoosiers Holdings
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปี 61 มองว่ายังมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จากการที่ภาครัฐได้เดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทางที่จะเริ่มทยอยเสร็จ ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนของกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัว และเกิดการใช้จ่ายภายในประเทศมากขึ้น