หุ้น KTC ราคาพุ่งขึ้น 13.7% มาอยู่ที่ 220 บาท เพิ่มขึ้น 26.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 254.15 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.07 น. โดยเปิดตลาดที่ 205 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 221 บาท และราคาทำระดับต่ำสุดที่ 205 บาท
บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ฯปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้นบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) จาก"ถือ" เป็น "ซื้อ" กลับมาชอบธุรกิจของ KTC หลังผลกระทบเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น้อยกว่าคาด โดยให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2561 ที่ 214.50 บาท (วิธี GGM) และคาดจ่ายเงินปันผลจากกำไรปี 2560 หุ้นละ 5 บาท คิดเป็น Div.Yield ราว 2.65%
ช่วงไตรมาส 4/60 KTC มีกำไรสุทธิ 939 ล้านบาท โตเด่น 46.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส โดยมีปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิโต 10% แม้บรรยากาศจับจ่ายซบเซาในช่วงไว้อาลัย แต่บริษัทยังสามารถรักษาระดับการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อรวมได้ที่ 7% (บัตรเครดิต +5% YoY, สินเชื่อส่วนบุคคล +13% YoY) สอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรและจำนวนฐานสมาชิกที่โตได้ดีกว่าอุตสาหกรรม สะท้อนความสำเร็จของการดึงดูดลูกค้าด้วยจุดเด่นด้านกิจกรรมการตลาดที่โดนใจ
2) รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยโต 5.9% หนุนด้วยรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้น 3.9% จากปริมาณธุรกรรมที่สูงขึ้นตามขนาดพอร์ตลูกหนี้ รวมทั้งมีรายได้จากหนี้สูญรับคืนโต 19.5% หลังคุณภาพของสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัว และ 3) Cost to Income Ratio ปรับลดลงจาก 41.6% ในช่วงไตรมาส 4/59 เหลือ 40.5% จากการใช้งบการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ปี 2560 KTC มีกำไรสุทธิ 3,304 ล้านบาท โต 32.5% จากปี 2559
นอกจากนี้ ยังมีมุมมองบวกต่อ KTC มากขึ้น โดยแม้จะเริ่มรับรู้ผลลบของมาตรการคุมหนี้ภาคครัวเรือนของ ธปท. แล้วตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/60 แต่บริษัทได้เตรียมแผนรับมือด้วย 1) แผนรักษายอดใช้จ่ายผ่านบัตรและจำนวนขอสินเชื่อใหม่ ด้วยการเพิ่มวงเงินให้กับลูกค้าเดิมและเน้นขยายฐานลูกค้าในกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาท/เดือน ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเกณฑ์จัดชั้นวงเงินของลูกหนี้รายใหม่ตามระดับรายได้
และ 2) เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงและกิจกรรมการตลาดของสินเชื่อส่วนบุคคล (Spread สูงกว่าบัตรเครดิต) เพื่อชดเชย Asset Yield ที่ลดลง จากการปรับลดเพดานดอกเบี้ยที่เก็บจากบัตรเครดิตลงจาก 20% เหลือเพียง 18% นอกจากนี้ด้านคุณภาพสินทรัพย์คาดจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ Credit Cost มีโอกาสลดลง และหนี้สูญรับคืนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อีกทั้งด้วย Coverage Ratio ที่สูงถึง 589% จึงคาดจะไม่มีการกันสำรองหนี้เพิ่มเมื่อเริ่มปรับใช้ IFRS 9 ดังนั้นเพื่อสะท้อนถึงปัจจัยบวกดังกล่าว จึงปรับประมาณการณ์กำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2561 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 29.1% โดยภายใต้ประมาณการณ์ใหม่คาดปี 2561 KTC จะมีกำไรสุทธิ 3,574 ล้านบาท โต 8.2% จากปีก่อน