ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็จัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดเดิมในวงเงินรวม 14,195 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยเช่นกัน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าและการเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของประเทศ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากสินทรัพย์ให้เช่า รวมทั้งจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค และจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในขณะที่การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ด้วย
ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จากยอดโอนที่ดินที่เพิ่มมากขึ้นและรายได้ประจำจากบริการสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้รวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 เพิ่มขึ้น 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ระดับ 4,784 ล้านบาท รายได้จากการโอนที่ดินในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 เท่ากับ 2,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 785 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้ประจำจากบริการสาธารณูปโภคและค่าเช่าเติบโต 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 1,441 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดี อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 อยู่ที่ 33.7% เพิ่มขึ้นจากระดับ 31%-32% ในปี 2558-2559 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ระดับ 3,751 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีระดับหนี้สินลดลงภายหลังจากที่การลดหนี้เป็นไปตามแผน ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.9% ณ เดือนกันยายน 2560 จากระดับ 70.1% ณ สิ้นปี 2557 การเพิ่มขึ้นของเงินทุนจากการดำเนินงานและการลดลงของหนี้เงินกู้ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 9.3% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 12 เดือน) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 6% ในปี 2558 และ 8% ในปี 2559
ในอนาคตข้างหน้า การลงทุนระยะยาวในประเทศไทยคาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่ดีจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศและการมีระบบสาธารณูปโภคที่ดี นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนยังมาจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกซึ่งได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐด้วยการตั้งงบประมาณที่มากขึ้นเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานและการที่นักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีตามนโยบายใหม่จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอีกด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจคลังสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมต่อไป ในขณะที่รายได้ประจำจากธุรกิจบริการสาธารณูปโภค ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ตลอดจนรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนจากยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้แก่บริษัทได้
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3,500-4,200 ล้านบาทต่อปีในปี 2560-2562 โดยบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับปานกลางและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากการลงทุนภายในประเทศถดถอยลงจนส่งผลกระทบทำให้รายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาด รวมทั้งการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงและลดทอนความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทก็จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและอย่างมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทสามารถปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งไปด้วยพร้อมกัน