RICHY คาดกำไรปีนี้ทำนิวไฮ ตามรายได้โตจากรับรู้ฯ โอนโครงการริชพาร์ค @ ทริปเปิ้ล สเตชั่น, เตรียมเปิด 4 โครงการใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 22, 2018 11:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ริชี่ เพลซ 2002 (RICHY) คาดว่า กำไรของบริษัทในปี 61 สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ได้ต่อเนื่องจากปี 60 เป็นผลจากการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการ ริชพาร์ค @ ทริปเปิ้ล สเตชั่น มูลค่าโครงการ 2.7 พันล้านบาท ซึ่งเริ่มทยอยโอนได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/61 โดยจะมีรายได้ของจากการโอนโครงการดังกล่าวเข้ามาในปีนี้อยู่ที่กว่า 2 พันล้านบาท จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 60 ที่บริษัทมีอยู่ที่ 4 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 61 อยู่ที่ 3 พันล้านบาท

"แนวโน้มรายได้ที่สูงขึ้นจะผลักดัน จะผลักดันให้กำไรของบริษัทในปี 61 สามารถทำนิวไฮได้ต่อเนื่อง" นางอาภา กล่าว

ส่วนแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 61 บริษัทวางแผนเปิดทั้งหมด 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด โดยที่ 2 โครงการที่บริษัทมีที่ดินแล้ว คือ โครงการเดอะริช ศรีนครินทร์ มูลค่าโครงการราว 3 พันล้านบาท ตั้งอยู่ทำเลเดียวกับโครงการเดอะ ริช พาร์ค ศรีนครินทร์ บนพื้นที่ 3 ไร่ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการมิกซ์ยูส 1 อาคาร สูง 34-35 ชั้น ประกอบด้วยพื้นที่เช่า แบ่งเป็น พื้นที่เช่าสำหรับร้านค้าปลีก 3 ชั้น และพื้นที่เช่าสำหรับสำนักงาน 4 ชั้น ส่วนที่เหลือของโครงการจะเป็นห้องชุดพักอาศัยสไตล์ลอฟท์ เพดานสูง 4.5 เมตร ซึ่งจะเริ่มเปิดการขายในช่วงปลายไตรมาส 2/61 ราคาขายเฉลี่ยกว่า 100,000 บาท/ตารางเมตร โครงการที่สองในปีนี้ที่บริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว คือ โครงการ เดอะริช เอกมัย มูลค่าโครงการราว 4 พันล้านบาท บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ บนทำเลติดกับบิ๊กซีเอกมัย ระหว่างเอกมัยซอย 6 และซอย 8 ซึ่งจะเป็นอาคารชุดพักอาศัย 39 ชั้น ราคาขายเฉลี่ยมากกว่า 200,000 บาท/ตารางเมตร จะเริ่มเปิดการขายในช่วงปลายปี 61 โดยโครงการ เดอะริช เอกมัย เป็นโครงการที่มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่นจำนวน 2 ราย ให้ความสนใจที่จะเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการดังกล่าวร่วมกับบริษัท เนื่องจากทำเลย่านเอกมัยเป็นทำเลคนญี่ปุ่นที่มาทำงานหรือท่องเที่ยในประเทศไทยนิยมมาพักอาศัยเป็นจำนวนมาก และมีร้านค้าต่างๆที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ไนย่านดังกล่าว ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมของการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นที่ติดต่อเข้ามบสนใจร่วมทุนไนโครงการนี้ ซึ่งหากได้ข้อสรุปจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรเพียง 1 รายท่านั้น ขณะที่อีก 2 โครงการที่จะเปิดในปีนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินเข้ามาเพื่อรองรับการพัฒนา ซึ่งเป็นที่ดินบนทำเลลาดพร้าว และทำเลราชพฤกษ์ ในย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ซึ่งจะนำมาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้ง 2 ทำเล นอกจากนี้หากบริษัทสามารถหาซื้อที่ดินได้เพิ่มขึ้นมีโอกาสที่จะเปิดโครงการมากขึ้นเป็น 5 โครงการ โดยโครงการที่ 5 บริษัทจะพิจารณาพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทสามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ในระยะเวลาที่ไม่นาน ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนรวมในปีนี้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น งบซื้อที่ดิน 1 พันล้านบาท และงบสำหรับการก่อสร้างอีก 2 พันล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท การแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนท์) ในปี 61 ทั้ง RICHY-W1 ที่จะได้รับเงิน 282 ล้านบาท และ RICHY-W2 ที่จะได้รับเงินอีกราว 432 ล้านบาท

“ปีนี้เราเน้นจับตลาดอสังหาฯแนวสูงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนแผนการตลาดและแคมเปญใหม่ๆนั้นก็จะมีออกมาเขย่าตลาดต่อเนื่อง พร้อมกิจกรรมการตลาดที่ออกมาเป็นประจำทุกเดือนในโครงการต่างๆ และอาจจะมีปรับบางโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ก็ยังดูความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก แต่เป้าหมายยอดขายของบริษัทในปีนี้ยังไม่ได้ตั้งเป้าที่แน่นอน เพราะยังมีอีก 2 โครงการที่ยังไม่ได้ซื้อที่ดิน แต่ก็เชื่อว่าจะสูงกว่าปีก่อนที่ทำยอดขายได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ 1 พันล้านบาทอย่างมาก"นางอาภา กล่าว

ส่วนแนวทางการพัฒนาโครงการใหม่ๆจากนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาโครงการที่เป็นมิกซ์ยูสมากขึ้น เนื่องจากบริษัทสามารถมีรายได้จากการให้เช่าพื้นที่เสริมเข้ามา จากเดิมที่มีเพียงแค่รายได้จากการโอนกรรมสิทธิที่อยู่อาศัย ซึ่งในด้านการบริหารพื้นที่เช่าบริษัทได้มีที่ปรึกษาจากสิงคโปร์ในวงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารพื้นที่เช่า ซึ่งทำให้บริษัทสามารถพัฒนาโครงการและบริหารพื้นที่เช่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับมองโอกาสในการนำส่วนของพื้นที่เช่าขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หลังจากที่พื้นที่เช่าเริ่มมีกำไรแล้ว เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองรีทมาลงทุนต่อยอดในโครงการอื่นๆ โดยปัจจุบันบริษัทมีโครงการประเภทมิกซ์ยูสที่ประกอบด้วย ห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยและพื้นที่เช่า ที่กำลังเตรียมพัฒนาและก่อสร้าง จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการเดอะ ริช นานา โครงการ ริชพาร์ค เทอร์มินอล หลักสี่สเตชั่น และโครงการ เดอะ ริช ศรีนครินทร์

ขณะเดียวกันในส่วนของการลงทุนโครงการใหม่ๆบริษัทยังเปิดรับพันธมิตรจากต่างชาติที่สนใจเข้ามาเจรจาเพื่อร่วมทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น 2 รายที่สนใจและเข้ามาเจรจาร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมย่านเอกมัยแล้ว ยังมีผู้ประกอบจากจีนสนใจเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการกับบริษัท แต่ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเจรจา และยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่จะได้ข้อสรุปแน่ชัดได้อย่างแน่นอน

สำหรับโครงการที่บริษัทเตรียมก่อสร้างในปีนี้จะมี 4 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม ดิเอท คอลเลคชั่น ถ.วิสุทกษัตริย์ ที่อยู่ระหว่างทางการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมทยอยโอนในปี 62 โครงการ เดอะ ริช นานา ที่เตรียมเริ่มก่อสร้างในช่วงเดือนมี.ค.ที่จะถึงนี้ โดยปัจจุบันมียอดขายที่เข้ามาเป็น Backlog จากโครงการดังกล่าวแล้วกว่า 1 พันล้านบาท โครงการ เดอะ ริช อเวนิว ย่านโบ๊เบ๊ ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ สไตล์อังกฤษ ที่เพิ่งเริ่มการก่อสรทาง และจะทยอยโอนในปี 62 และโครงการ ริชพาร์ค เทอมินอล หลักสี่สเตชั่น มูลค่า 1.6 พันล้านบาท ซึ่งคอนโดมิเนียมสูง 14 ชั้น และชั้นล่างเป็น Community mall พร้อมมี Sky walk เชื่อมเข้าอาคารกับสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งใช้งบลงทุนในการก่อสร้าง Sky walk เชื่อมเข้ากับอาคาร 70 ล้านบาท

นางอาภา กล่าวถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 61 มองว่าจะเห็นการปรับตัวดีขึ้นในทิศทางที่ดี หลังจากที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยชะลอตัวในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทำให้รายได้ของประชาชนลดลง และกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย แต่ในปี 61 แนวโน้มและสัญญาณต่างๆที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นปัจจัยบวก ที่สนับสนุนต่อภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะกลับมาเติบโตได้ดีมากขึ้น และสร้างความมั่นใจของประชาชนกลับมาฟื้นตัว ส่งผลบวกต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ในด้านของราคาที่ดินยังคงมีการปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะราคาที่ดินในย่านสุขุมวิทไปจนถึงอ่อนนุชที่มีการปรับเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินเฉลี่ย 30% ต่อปี ซึ่งส่งผลต่อราคาขายโครงการที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีซัพพลายของการขายที่ดินเปล่าออกมามาก ก่อนที่จะเริ่มมีการใช้กฏหมายภาษีที่ดินและภาษีลาภลอยในช่วงปลายปีนี้ ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการยังถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ ซึ่งบริษัทได้มีความร่วมมือกับสถาบันการเงินที่เป็นพันธมิตรในการให้ข้อเสนอด้านสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ซื้อโครงการตามความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ