นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เ ปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมในปี 61 ที่ 4.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำยอดขายรวมได้ 3.86 หมื่นล้านบาท นับเป็นเป้าหมายที่สูงที่สุดจากทุกปี พร้อมวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ถึง 31 โครงการ รวมมูลค่า 6.32 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าโครงการที่สูงที่สุดเช่นกัน แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 12 โครงการ รวมมูลค่า 3.35 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 53% บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่ารวม 2.01 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 32% และทาวน์เฮ้าส์รวม 11 โครงการรวมมูลค่า 9.6 พันล้านบาท คิดเป็น 15%
"จากเทรนด์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจัยเกื้อหนุนในทางบวก รวมทั้งทิศทางที่เป็นรูปธรรมในการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 61 บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายพรีเซลที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน"นายอุทัย กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังเดินหน้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและรักษาความเป็นหนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติเพิ่มขึ้นถึง 40% หรือมาอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท จากปี 60 ที่ทำยอดขายตลาดต่างชาติได้เกินเป้า 7.5 พันล้านบาท หรือมาอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท โดยการขยายตัวของยอดขายตลาดต่างชาติมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย อีกทั้งบริษัทได้เปิดออฟฟิศในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ในฮ่องกง รวมทั้งกำลังมองหาความเป็นไปได้ที่จะขยายสู่ตลาดอื่นๆ เช่า เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ SIRI ยังพร้อมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ผ่านโครงการแนวใหม่ หรือนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ไม่เคยมีมาก่อน รวมถึงการสร้างชื่อให้แบรนด์ SIRI กลายเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าจับตามองในตลาดต่างประเทศอีกด้วย สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ โดยในส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยที่จะมีโครงการใหม่จากการร่วมทุนกับบีทีเอสและโตคิวกรุ๊ปอีกราว 4-6 โครงการ มูลค่ารวม 1.2-1.9 หมื่นล้านบาท รวมทั้งยังมีแผนการเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residence เป็นครั้งแรกของโลก
ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพ.ค.นี้ และอาคาร All Seasons Place ในเดือน ส.ค.นี้ โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้าน SIRI เข้าใช้บริการ ส่วน Hostmaker จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้านและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ
นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ SIRI เปิดเผยว่า สำหรับกรณีการเจรจาซื้อโครงการนิมิต หลังสวน และห้องชุดพักอาศัยในโครงการเดอะ ริทคาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก จำนวน 53 ห้อง ในโครงการอาคารชุดมหานคร ของ บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ซึ่งได้ขยายระยะเวลาการตรวจสอบทรัพย์สินที่การซื้อขาย (Due Diligence) ออกไปถึง 5 ก.พ.61 เพราะราคาเสนอขายยังถือว่าสูงกว่าราคาที่บริษัทประเมิน ทำให้ยังไม่สามารถตกลงกันได้
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการนำเอกสารกลับมาศึกษา และนำเสนอราคาพร้อมกับเงื่อนไขต่างๆ ในแนวทางที่บริษัทเห็นว่าเหมาะสม เพื่อเตรียมเจรจากับทาง PACE อีกครั้ง ซึ่งหากการเจรจาเพื่อซื้อโครงการดังกล่าวยังไม่สามารถตกลงกันได้ภายในวันที่ 5 ก.พ.นี้ บริษัทก็สามารถยกเลิกการเสนอซื้อหรือขยายระยะเวลาการพิจารณาการซื้อขายออกไปได้อีก
"ในความเห็นของเรามองว่า PACE ควรลดราคาลงอีก เพราะราคาที่เสนอมายังไม่เหมาะสมในความเห็นของเรา ซึ่งตรงนี้ในเรื่องราคาเราตกลงกันจะไม่มีการเปิดเผยถึงเรื่องราคาซื้อขาย แต่ตอนนี้ที่ยืดระยะเวลาออกมาก็กลับไปดูเอกสารที่มีเยอะมาก เมื่อมาดูแนวทางสรุปว่าจะเป็นอย่างไร และมีการพิจารณาราคาต่อรองที่สมเหตุสมผล ซึ่งทางฝั่งเราก็อยากให้ PACE ยอมรับข้อเสนอและเงื่อนไขของเรา ซึ่งเรายังมองว่าโครงการของ PACE ยังมีความคุ้มค่าในการลงทุน เพราะโครงการมหานครก็สามารถโอนได้แล้ว ส่วนโครงการนิมิตหลังสวนก็จะโอนได้ภายในปี 63 แต่ตรงนี้เราต้องศึกษาเรื่องความเสี่ยง กฏระเบียบต่างๆอย่างรอบคอบ ทำให้ใช้เวลาการศึกษานาน"นายวันจักร กล่าว
อย่างไรก็ตาม การซื้อโครงการของ PACE จะใช้กระแสเงินสดของบริษัทที่มีเพียงพอรองรับการทำดีลดังกล่าว แต่อาจจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนปรับเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ในแง่ของสภาพคล่องและความมั่นคงของบริษัทยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี
ขณะเดียวกัน SIRI มีแผนออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในช่วงเดือน ส.ค.นี้ มูลค่า 3 พันล้านบาท โดยก่อนนี้บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ และไม่มีหลักประกัน มูลค่า 4 พันล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.35% ต่อปี ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมีน่กางทุนให้การตอบรับอย่างล้นหลาม นอกจากนี้ บริษัทเตรียมขออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อปรับแก้เงื่อนไขการขออนุญาตวงเงินออกหุ้นกู้ใหม่ ซึ่งไม่ต้องมีการขอเพิ่มในกรณีที่บริษัทออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิม
ส่วนงบซื้อที่ดินในปี 61 ตั้งไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เขตกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งรองรับการเปิดโครงการใน 63 โดยงบซื้อที่ดินในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนที่ใช้ไป 1.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากบริษัทซื้อที่ดินไปค่อนข้างมาก แต่ก็มองว่าปีนี้ซัพพลายที่ดินจะออกมามากขึ้นกว่าปีก่อนๆ เพราะภาษีลาภลอยจะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 62 ขณะที่ราคาที่ดินยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ด้านสิริ เวนเจอร์ส เบื้องต้นตั้งงบลงทุน 1.5 พันล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี โดยจะเน้นงาน 3 ด้าน คือ การลงทุนในสตาร์ทอัพ ความร่วมมือในการผลักดันการสร้างระบบนิเวศน์สำหรับสตาร์ทอัพ ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก อาทิ SOSA และ Plug and Play รวมไปถึงการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมเพื่อพัฒนา Home Service Application ช่วยยกระดับความสะดวกสบายและการใช้ชีวิตของลูกค้า รวมถึงปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในองค์กร เพื่อให้การทำงานนั้นมีความคล่องตัวและก้าวเท่าทันยุคดิจิทัล