KTAM วางเป้า AUM ปี 61 โต18% มาที่ 8.38 แสนลบ.,ให้เป้าดัชนี SET ที่ 1,900 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 30, 2018 11:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ในปีนี้ เติบโต 18% หรือเพิ่มขึ้นเป็น 838,000 ล้านบาท จากในปี 60 ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 29 ธ.ค.60 อยู่ที่ 714,247 ล้านบาท ซึ่งลดลง 4.7% หรือประมาณ 35,121 ล้านบาท จากปี 59

เนื่องจากในปี 60 มีการยกเลิกโครงการ 3 กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยรีเทล อินเวสเม้นต์(TRIF) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ (TCIF) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยโฮเทลอินเวสเม้นต์ (THIF)

แต่อย่างไรก็ตาม กำไรของบริษัทในปีก่อนสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ และบริษัทยังครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 4 ของอุตสาหกรรม

นางชวินดา กล่าวว่า ในปี 60 กองทุนรวมของ KTAM มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 61,000 ล้านบาท หรือ 14% จากการเติบโตของกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น (Short Term Fund) และกองทุนรวมต่างประเทศ ด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม โดยมีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นกว่า 20,000 ล้านบาท หรือ 32% จากการบริหารกองทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เป็นหลัก

ทั้งนี้ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ณ 29 ธ.ค.60 ประกอบด้วย กองทุนรวม 498,192 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 86,107 ล้านบาท กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 83,915 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล 46,033 ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปีนี้ KTAM มีแผนจะเปิดจำหน่าย 8 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนที่การจัดสรรรน้ำหนักการลงทุน (Asset Allocation) จำนวน 4 กองทุน ภายใต้ชื่อกองทุน มั่งคั่ง มีทรัพย์ ศรีศิริ สุขใจ (มั่งมีศรีสุข) กองทุนต่างประเทศประเภท Unit Link จำนวน 3 กองทุน และ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ ฟันด์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

"เรายังมีแผนจะเปิดขายกองทุนอื่น ๆ โดยพิจารณาดูความเหมาะสม และจังหวะในการเปิดเสนอขาย ซึ่งบริษัทจะคำนึงถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน ในเดือนแรกของปีนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม โกลบอล เครดิต อินคัม ฟันด์ ( KT-GCINCOME) โดยสามารถจำหน่ายกองทุนได้ตามเป้าหมายเต็มมูลค่าโครงการที่กำหนดไว้ 5,000 บาท โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 วัน"นางชวินดา กล่าว

สำหรับในปีนี้บริษัทจะเน้นเรื่องการให้นักลงทุนได้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้ง่ายและสะดวกขึ้น ผ่านช่องทาง Social media เช่น Mobile App ในการซื้อขายหน่วยลงทุน และ Website ใหม่ เป็นต้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคารกรุงไทย มีการทำงานกันอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้กองทุนรวมมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้จะมีการพัฒนานระบบ IT ร่วมกัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนในการเข้าถึงข้อมูลมากยิ่งขึ้น

"ในปีที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในหลายกองทุน เช่น กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ทอิควิตี้ (KTEF) กองทุนระดับ 5 ดาวจาก Morningstar และเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลังอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง สิ้นสุด ณ วันที่ 29 ธ.ค. 60 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 จากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กลุ่ม Equity General และ Morningstar กลุ่ม Thailand EQ Equity Large-Cap โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 79.32% สูงกว่า Benchmark ซึ่งอยู่ที่ 30.02% ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงานของกองทุน"นางชวินดา กล่าว

นอกจากนี้ กองทุนต่างประเทศที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี ติดอันดับ 1 ใน 3 ของอุตสาหกรรม จากการจัดอันดับของ Morningstar ได้แก่ KT-India อันดับ 1 ของกลุ่ม Thailand QE Asia Pacific ex-Japan อยู่ที่ 43.87%, KT-Euro อันดับ 1 ของกลุ่ม Thailand QE Europe Equity อยู่ที่ 22.92% และ KT-GMO อันดับ3 ของกลุ่ม Thailand QE Global Allocation อยู่ที่ 15.72% ส่วนกองทุน KT-China นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (30 มี.ค.60) อยู่ที่ 20.52%

กองทุน KT-CLMVT ได้รับการจัดอันดับจาก Morningstar ให้เป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน และ 6 เดือนอยู่ในอันดับหนึ่งของกลุ่มหุ้นในเอเซีย แปซิฟิก ยกเว้น ญี่ปุ่น โดย 3 เดือนอยู่ที่ 14.76% และ 6 เดือนอยู่ที่ 23.74% กองทุนนี้สามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน จำนวน 3 ครั้งติดต่อกัน ในอัตราครั้งละ 0.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งแต่ละกองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน และได้รับความไว้งวางใจในการให้บริษัทบริหารเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นางชวินดา กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในปีนี้ว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับประมาณการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% ทั้งในปี 61 และปี 62 จากเดิมที่ 3.7% ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 4.0% โดยยังคงมีโมเมนตัมของการเติบโตที่ดี เป็นผลจากจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และการฟื้นตัวจากภัยแล้ง และปัจจัยชั่วคราวอื่นๆ นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทย น่าจะได้รับผลดีจากวงเงินงบประมาณกลางปีที่เพิ่มขึ้น 1.5 แสนล้านบาท และการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ

ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้ KTAM ให้เป้าหมายของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ที่ 1,900 จุด ภายใต้สมมุติฐานกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะสามารถเติบโตได้ 12% และ P/E 17.5 เท่า โดยปัจจัยหนุนจะมาจากผลการดำเนินงานของ บจ.ที่จะทยอยประกาศออกมาจะมีส่วนช่วยพยุงดัชนีฯ รวมถึงได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศสำคัญ และการเร่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ มาตรการกระตุ้นการบริโภคที่ทยอยออกมาเป็นระยะ การท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

"ตลาดหุ้นยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในปี 61 โดยมีปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนได้แก่ สภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับที่สูงและอัตราดอกเบี้ยต่ำ (เงินเฟ้อต่ำ) ขณะที่สินทรัพย์เพื่อการลงทุนอื่นให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ภาพรวมเศรษฐกิจต่างประเทศและเศรษฐกิจไทยก็มีการขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ความผันผวนของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันดิบ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ เป็นต้น"นางชวินดา กล่าว

กลยุทธ์การลงทุน เน้นการลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การบริโภค (Domestic play) และการลงทุนภายในประเทศ เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มสื่อ และกลุ่มยานยนต์ ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีฯ ได้รับประโยชน์การแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวราคาหุ้นมักจะมีความเคลื่อนไหวผันผวนตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ก็อาจใช้โอกาสจากความผันผวนดังกล่าวเป็นการ Trading ในระยะสั้นได้

ขณะที่ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบในด้านลบจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง ยังคงหลีกเลี่ยง หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศฯ (ICT) โดยเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ยังขาดความชัดเจนในการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz และ 1800 MHz

KTAM คาดว่าในปีนี้ค่าเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นอีกประมาณ 5% มาสู่ระดับ 30.80 บาท/ดอลลาร์ในช่วงสิ้นปี ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำจะกดดันทำให้อัตราดอกเบี้ยทรงตัวที่ 1.5% ตลอดทั้งปี 61 นี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นก็ตาม

ด้านตลาดตราสารหนี้ในปีนี้มองว่าในภาพรวมมีแนวโน้มจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากการที่อัตราผลตอบแทนในหลายๆ ประเทศผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งตลาดตราสารหนี้ไทยคาดว่าอัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยโลก ท่ามกลางความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินลงทุนจากต่างชาติ

อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อในประเทศที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า สภาพคล่องส่วนเกินที่ยังอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้มองว่าอัตราผลตอบแทนน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก

กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้จะเน้นการวางพอร์ตให้มีการกระจายน้ำหนักไปในตราสารแต่ละช่วงอายุโดยให้มีอายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio Duration) อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับแนวโน้มตลาดในแต่ละขณะ รวมถึงจะมีการปรับพอร์ตระหว่างตราสารรุ่นที่มีราคาถูกและมีราคาแพงเป็นระยะ ๆ และลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่ผู้ออกตราสารมีแนวโน้มที่จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ