นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังคงต้องใช้ความระมัดระวังการลงทุน เนื่องจากในปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ประกอบกับราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยมีค่า P/E ที่สูงกว่าตลาดหุ้นในประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะ P/E ของหุ้นในกลุ่มพลังงาน และสถาบันการเงิน ที่ในประเทศอื่นยังต่ำกว่าประเทศไทยและมีความน่าสนใจมากกว่า ส่งผลต่อมุมมองการลงทุนของต่างชาติที่ยังไม่ได้ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากนัก
อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในประเทศ คือ ปัจจัยด้านการเมือง ซึ่งหากเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจะทำให้มีความกังวลเกิดขึ้นในระยะสั้น แต่เมื่อผ่านพ้นเรื่องดังกล่าวไปมองว่าความกังวลก็จะคลายตัวลง และจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้ โดยแรงซื้อที่เข้ามาส่วนใหญ่มองว่าจะมาจากนักลงทุนและสถาบันในประเทศเป็นหลักในสัดส่วน 80%
สำหรับประเด็นการระดมทุนผ่าน ICO (Initial Coin Offering) ของบริษัทจดทะเบียนนั้น มองว่ายังสามารถลงทุนได้ แต่ควรใช้เงินลงทุนไม่มาก เนื่องจากยังมีความเสี่ยงจากการเก็งกำไร หลังจากที่ผ่านมานักลงทุนได้รับบทเรียนจากสกุลเงินบิทคอยน์ที่ราคาปรับลดลง 50% ใน 1 วัน และ เงินสกุลอื่นๆก็มีการแกว่งตัว 20-50% ต่อวัน ทำให้นักลงทุนยังมีความกังวล อีกทั้งยังไม่มีหน่วยงานที่จะกำกับ และดูแล ที่ชัดเจน พร้อมกับการประเมินมูลค่าของเงินที่เหมาะสม
ด้านนางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้เป็นช่วงปรับฐาน หลังจากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมาก รวมไปถึงมีการขายทำกำไรของออกมาในกลุ่มหุ้น Real Sector ที่ได้ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 และผลการดำเนินงานปี 60 ไปแล้ว โดยกรอบการเคลื่อนไหวในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้ ทางเอเซีย พลัส ให้กรอบไว้ที่ 1,790-1,850 จุด
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่จะกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ได้แก่ ปัจจัยด้านการเมืองเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งหากมีการเลื่อนเลือกตั้งไปเป็นปี 62 จะส่งผลให้เกิดความกังวลขึ้นในระยะสั้น และส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้ได้ ขณะเดียวกันปัจจัยของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาคจะมีผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคการส่งออกไทยในปีนี้ และจะมีผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะมีการนำมาประเมินอีกครั้งในช่วงกลางปีนี้
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นปันผลที่ราคายังไม่ปรับเพิ่มขึ้นสูงมาก ซึ่งเป็นการเลือกลงทุนที่มีความเสี่ยงไม่สูงมาก และได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งการลงทุนในหุ้นปันผลแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อก่อนการประกาศจ่ายเงินปันผล 1-2 สัปดาห์ เพราะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่ราคายังไม่เพิ่มขึ้นไปมาก โดยมีหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ SIRI, MAJOR, MCS และ INTUCH