ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าร่วงไปแล้วกว่า 28 จุด หลุดระดับ 1,800 จุด หรือติดลบไปราว 1.55% ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์รูดหนักกว่า 2.54% จากความกังวลผลกระทบจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (Bond Yield) พุ่งต่อเนื่องและตัวเลขการจ้างงานที่ดีขึ้น อาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
เมื่อเวลา 10.00 น. ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,799.02 จุด ลดลง 28.33 จุด (-1.55%)
ล่าสุดเมื่อ เวลา 10.15 น.ดัชนี SET ดีดกลับเล็กน้อยมาที่ 1,806.45 จุด ลดลง 20.90 จุด (-1.14%)
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 20 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างร่วงเฉลี่ย 1% กลาง ๆ ถึง 2% เป็นไปตามดาวโจนส์ที่ปรับตัวลงแรง หลังจากที่ Bond Yield ปรับตัวขึ้นสูงมาก บั่นทอนความน่าสนใจในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้น
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าค่อนข้างมากในเดือน ม.ค.ถึงมากกว่า 4% ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯมีโอกาสที่จะกลับมาอ่อนค่าได้ในระยะสั้น
ทั้งนี้ นักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถี่กว่าที่คาดไว้ในปีนี้ (ในแง่ของจำนวนครั้ง) และยังกังวลเกี่ยวกับ Fund Flow อาจไหลออกในระยะสั้น ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงที่ตลาดฯ จะปรับฐาน ซึ่งนำโดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Commodity ที่มีโอกาสกดตลาดฯให้ลงต่ำกว่าระดับ 1,800 จุดได้
อย่างไรก็ดี ยังมองหุ้นที่น่าจะ Outperform ตลาดฯ ในช่วงสั้น เป็นหุ้นที่ปรับขึ้นน้อยในช่วงก่อนหน้านี้ เช่น กลุ่มการแพทย์, อสังหาริมทรัพย์, หุ้นในกลุ่มแบงก์บางตัวที่ยัง Laggard กลุ่มฯอยู่ จึงเป็นโอกาสในการซื้อ
พร้อมให้แนวรับ 1,786-1,760 จุด ส่วนแนวต้าน 1,820 จุด