นายณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเอตร์ลิงค์ เทเลคอม (ITEL) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 61 อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจ Data Service และ Data Center กว่า 750 ล้านบาท และโครงการอื่นๆ อีก 650 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนงาน ซึ่งคาดการณ์ว่าระยะยาวจะมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 80% ของรายได้ทั้งหมด
สำหรับบริการเชื่อมต่อข้อมูล ซึ่งเป็นบริการหลักของบริษัท คาดว่าจะเติบโตได้จากโครงข่ายที่ขยายไปมากถึง 75 จังหวัด และลูกค้าที่ทยอยเข้ามาใช้บริการอันเนื่องมาจากประสิทธิภาพของโครงข่ายและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของการให้บริการ เช่น กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ม (ประเทศไทย) บล.ฟินันเซีย ไซรัส กลุ่มให้บริการเงินกู้ ได้แก่ เมืองไทยลีสซิ่ง และศรีสวัสดิ์ กลุ่มร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่น-อีเลฟเว่น กลุ่มโรงภาพยนตร์ เช่น เมเจอร์ซินีเพล็กซ์ และกลุ่มราชการอีกมากมาย โดยคาดว่าแนวโน้มการเติบโตในอนาคตจะเติบโตเฉลี่ย 20% อีกทั้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 40% ภายใน 5 ปี จากปีนี้คาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาเพิ่มอีกจำนวน 200 ราย จากปัจจุบันมีอยู่ราว 400 ราย
นอกจากนี้ ยังมีการเสริมทัพสร้างการเติบโตด้วยธุรกิจ Data Center ที่มี 2 แห่ง โดยแห่งแรกได้สร้างเสร็จและให้บริการเต็มพื้นที่แล้ว และ Data Center แห่งที่ 2 ที่เพิ่มเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/61 จะมียอดเข้าใช้งานที่ 30% ภายในไตรมาส 2/61 และหวังที่จะมีลูกค้าทยอยเข้ามาใช้บริการเพิ่มเป็น 60% ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 12%
ในส่วนของโครงการอินเตอร์เน็ตชายขอบ (USO NET) จะทยอยรับรู้รายได้การติดตั้งทั้งหมดภายในปี 61 ซึ่งมีมูลค่าที่จะรับรู้รายได้เข้ามาอยู่ที่ 650 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่ารายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 20%
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ราว 2,454 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจ Data Service จำนวน 951 ล้านบาท ,ธุรกิจ Data Center จำนวน 170 ล้านบาท และงานติดตั้งต่างๆ (Installation) จำนวน 1,333 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมดราว 560 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ยังคาดว่าจะมีข่าวดีจากธุรกิจหลักที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีแนวโน้มอัตรากำไรที่ดีขึ้นตามลำดับ และยังมีงานประมูลใหม่ที่มีแนวโน้มเข้าร่วมประมูลกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท คือ งานโครงการอินเทอร์เน็ตประชารัฐ (USO NET เฟส 2) โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งในงานดังกล่าวไม่น้อยกว่า 15% ซึ่งโครงการนี้แบ่งเป็น 5 สัญญา มูลค่าประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อสัญญา โดยบริษัทฯ คาดหวังว่าจะได้รับงานอย่างน้อย 1 สัญญา และน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงปลายไตรมาส 1/61 หรือต้นไตรมาส 2/61
นายณัฐนัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯเตรียมออกบริการใหม่ โดยจะให้บริการกล้องวงจรปิด (CCTV as service) มูลค่า 80-100 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 1/61 และจะเห็นการเซ็นสัญญาได้ในไตรมาส 2/61
ส่วนการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ บริษัทฯ ยังมีความสนใจลงทุนในธุรกิจ Blockchain เพื่อรองรับระบบการระดมทุนแบบ Initial coin offering หรือ ICO ซึ่งถือเป็นเทรนด์การระดมทุนรูปแบบใหม่ แต่อย่างไรก็ตามต้องหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญมาร่วมศึกษา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ แต่เบื้องต้นยังไม่มีความสนใจระดมทุน ICO เร็วๆนี้