นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมจะเปิดเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ให้กับนักลงทุนสถาบันและรายใหญ่ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นี้ เพื่อนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการเป็นผู้นำด้านพลังงานครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย ภายในปี 2565 ตามแผนงานที่วางไว้ โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ซึ่งมีการค้ำประกันบางส่วนในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ที่ระดับ "A" แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
สำหรับหุ้นกู้ของ SGP ที่เตรียมเปิดขายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นี้ ได้รับการค้ำประกันบางส่วนจากบริษัท Credit Guarantee and Investment Facility (CGIF) ซึ่งเป็นกองทุนทรัสต์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank-ADB)
ทั้งนี้ CGIF ได้รับการจัดอันดับที่ระดับ "AAA" โดยทริสเรทติ้ง ภายใต้เงื่อนไขของสัญญาการค้ำประกันของหุ้นกู้นั้น CGIF ตกลงที่จะให้การค้ำประกันชนิดไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ โดยจะครอบคลุมในสัดส่วน ไม่เกิน 85% ของเงินต้น และ 85% ของภาระดอกเบี้ยที่ไม่ได้รับชำระ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ระบุว่า ผลการดำเนินงานของ SGP โดยรวมในปี 2560 นั้นน่าจะดีกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่สูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 55.2 จากระดับ 380 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนธันวาคม 2559 เป็น 590 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนธันวาคม 2560 และยอดขายยังคงเติบโตในระดับปานกลาง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการนำเข้า LPG และการขยายตลาดในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ สภาพคล่องของ SGP อยู่ในระดับเป็นที่น่าพอใจ โดยประเมินจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่สูงขึ้น อันเป็นผลจากกระแสเงินสดที่ดีขึ้นในปี 2560 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนนั้นคาดว่าจะยังอยู่ที่ประมาณ 50% ในปี 2560 ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับปี 2558 และ 2559
ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะผู้ค้า LPG รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศเอาไว้ได้ โดยกระแสเงินสดที่แน่นอนจากการค้า LPG ในประเทศจะช่วยลดผลกระทบจากกำไรที่ผันผวนของการดำเนินงานในต่างประเทศได้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่ายอดขายของ SGP จะเติบโตประมาณร้อยละ 5-7 ต่อปี สำหรับเงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะยังคงผันผวนแต่โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 2,500 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่สูงกว่า 15% ในระยะยาว