นายเนลสัน เหลียง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. วีจีไอ โกลบอล มีเดีย (VGI) เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปี 60/61 (ม.ค.-มี.ค.61) บริษัทคาดว่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปัจจัยกลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน (BTS) ที่ลูกค้ายังใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสื่อโฆษณาในรูปแบบ Station Sponsorship มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามลำดับ รวมถึงการรับรู้รายได้จากความสำเร็จจากกลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานที่สามารถขยายพื้นที่สื่อครบ 172 อาคารได้เร็วกว่าแผน ขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณากลางแจ้งยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากความต้องการใช้สื่อโฆษณาเพื่อกระตุ้นการขายสินค้าและสร้างการรับรู้แบรนด์ถึงผู้บริโภค
เช่นเดียวกับธุรกิจ Digital Services ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการบัตร Rabbit Card เพิ่มเป็น 8.5 ล้านใบ และมีพันธมิตรที่ร่วมทำกิจกรรมกับบัตร Rabbit Card กว่า 145 แบรนด์ชั้นนำ ขณะที่ Rabbit Line Pay ก็มียอดผู้ใช้บริการเพิ่มเป็น 2.6 ล้านคน จากแบรนด์พันธมิตรชั้นนำกว่า 600 แบรนด์ร่วมทำกิจกรรมกับช่องทางดังกล่าว ซึ่งการเติบโตของกลุ่มธุรกิจของ Digital Services จะช่วยต่อยอดให้กับโครงสร้างสื่อโฆษณานอกบ้านทั้งหมดที่เรามีอยู่จากการพัฒนารูปแบบโฆษณาที่สามารถวัดผลได้มากขึ้น
"ประเมินว่าอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในปีนี้จะเติบโตได้ดี จากปัจจัยหนุนทั้งภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตที่ดีและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นตลอดจนการมีบิ๊กอีเว้นท์อย่างฟุตบอลโลก ที่จะเข้ามาช่วยสร้างความคึกคักให้แก่การใช้เม็ดเงินซื้อสื่อโฆษณาในปีนี้และเป็นปัจจัยบวกต่อ VGI จะผลักดันรายได้ปี 61 เติบโตตามแผนที่วางไว้" นายเนลสัน เหลียง กล่าว
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของปี 60/61 (ต.ค.-ธ.ค.60) บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยทำรายได้รวม 978 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 772 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 240 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 157 ล้านบาท แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีต้นทุนจากการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้น แต่ VGI สามารถบริหารจัดการด้านต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงส่งผลดีต่อการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารายได้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจพบว่า กลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน (BTS) สามารถทำรายได้ 549 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% ซึ่งเกิดจากความสำเร็จในการ Synergy กับ Rabbit Group ส่งผลให้สามารถเชื่อมแพลตฟอร์ม Offline-to-Online (O2O) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ที่สามารถประยุกต์การใช้งานสื่อโฆษณานอกบ้านทั้งหมดในมือเชื่อมต่อกับสื่อดิจิทัลและออนไลน์ โดยมีฐานข้อมูลจากแรบบิทมาช่วยพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและสามารถวัดผลได้ โดยพบว่าลูกค้าให้ความสนใจซื้อแพคเกจโฆษณาแบบ O2O ในรูปแบบ Station Sponsorship (เหมาทั้งสถานี) ซึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2560 มีลูกค้าที่ซื้อพื้นที่โฆษณารูปแบบดังกล่าว 7 แบรนด์สินค้า รวม 9 สถานี เช่น แมคโดนัลด์ เอไอเอส เป็นต้น
ในส่วนของต่างประเทศ บริษัทได้เข้าไปขยายธุรกิจในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันมีผู้ยอดจองลงโฆษณาตามสถานีรถไฟฟ้าในมาเลเซียแล้ว 5 สถานี ทั้งยังมีสื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้าจำนวน 20 ขบวน ซึ่งบริษัทมองเห็นทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกขยายเครือข่ายสื่อโฆษณาให้ครอบคลุมได้ครบทุกสถานี รวมถึงขบวนรถไฟ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจในประเทศมาเลเซียมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานนั้น VGI สามารถขยายพื้นที่สื่อโฆษณาได้เร็วกว่าแผน โดยไตรมาส 3 ของปี 60/61 VGI สามารถขยายพื้นที่ได้ครบทั้ง 10 อาคาร ส่งผลให้เมื่อสิ้นไตรมาสดังกล่าว สามารถรับรู้รายได้จากพื้นที่โฆษณาในอาคารสำนักงานได้ 172 อาคาร มีผลให้รายได้จากกลุ่มธุรกิจนี้เติบโตมากกว่า 40% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจ Digital Services หรือ การบริการด้านดิจิทัล ทำรายได้ในไตรมาสนี้ 83 ล้านบาท
ส่วนกลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณากลางแจ้งผ่านการบริหารงานของ MACO มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง จากความสำเร็จหลังปรับเปลี่ยนรูปแบบสื่อโฆษณาเป็นป้ายแบบดิจิทัลในต่างจังหวัดรวม 21 ป้าย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้อัตราการใช้พื้นที่โฆษณาเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 70% ของพื้นที่สื่อทั้งหมด โดยทำรายได้และกำไรสูงสุด 3 ไตรมาส ติดต่อกันในปี 2560 ส่งผลให้ทั้งปีบริษัทฯสร้างรายได้ 932 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อน และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 226 ล้านบาท นับว่าสูงที่สุดตั้งแต่ดำเนินกิจการ ส่งผลดีต่อ VGI ที่รับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน MACO ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ความสำเร็จดังกล่าว ส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินธุรกิจ 9 เดือนแรกของปี 60/61 (เม.ย.-ธ.ค.60) ที่มีรายได้รวม 2,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% และมีกำไรสุทธิ 659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา