นายชนัตถ์ สรไกรกิติกูล ประธานกรรมการการเงินและบริหารความเสี่ยง บมจ.แพรนด้า จิวเวลรี่ (PDJ) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดขายรวมปีนี้ 20% หรือมียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 3,700 ล้านบาท และคาดหวังว่าจะสามารถมีผลประกอบการพลิกกลับมาเป็นกำไรได้
บริษัทคาดว่าสัดส่วนรายได้ในปีนี้จะมาจากการรับจ้างผลิตว 60% รายได้จากการจัดจำหน่ายราว 30% และรายได้จากร้านค้าปลีกราว 10-15% ภายใต้แผนงานในปีนี้ที่จะการปรับปรุงการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างการเติบโตของยอดขาย โดยพัฒนาความเชี่ยวชาญของบุคลากร และควบคุมการสูญเสีย ส่งผลให้ภาคการผลิตมีต้นทุนที่ดีขึ้น โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายจากลูกค้า Top20 ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักของยอดขายฐานการผลิต
ด้านการจัดจำหน่าย บริษัทได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นในสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส และอินเดีย ขณะที่บริษัทได้ปิดบริษัทย่อยที่เยอรมนี เนื่องจากมีการเปลี่ยนนโยบายการจัดจำหน่าย โดยจะยังคงให้บริการโดยตรงจากประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการขายให้กับลูกค้าขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีบริษัทย่อยในอังกฤษที่สามารถดูแลยอดขายจากลูกค้ารายเล็กได้
ส่วนฐานธุรกิจค้าปลีก บริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ของตนเอง ได้แก่ Prima Gold, Prima Art, Prima Diamond, Merii, Gringoire, Julia ในประเทศไทย อินโดนีเซียและเวียดนาม ให้มีความแข่งแกร่งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและสามารถสร้างการเติบโตในระยะยาวได้อย่างมั่นคง
นายชนัตถ์ กล่าวว่า ในปี 58 ที่ผ่านมาตลาดโลกชะลอตัวลงและกระทบต่อลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทส่งผลให้คำสั่งซื้อลดลง ส่งผลให้บริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงินในการดำเนินธุรกิจ อีกทั้งต้องเร่งเคลียร์สินค้าค้างสต๊อก ส่งผลลบต่อกำไรของบริษัท รวมถึงมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นด้วย
แต่หลังจากที่บริษัทได้ปรับปรุงโครงสร้างในการดำเนินธุรกิจ เพื่อบริหารจัดการปัญหาต่าง ๆ แล้ว ทำให้บริษัทกลับมามองโอกาสการเติบโตอีกครั้ง ตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้น 28% จากปีก่อนอยู่ที่ราว 26% โดยมุ่งเน้นการกระจายความเสี่ยงทางด้านการตลาดจำแนกตามฐานลูกค้า โดยวางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากลูกค้า Top 20 ไว้ที่ 65% จากลูกค้าทั้งหมด 50 ราย และสัดส่วนรายได้จากลูกค้าหลักไม่เกินรายละ 20% พร้อมตั้งงบลงทุนไว้ราว 40-60 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพกำลังการผลิต นอกจากนั้น มองว่าสภาวะเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน และบริษัทมีความสามารถในการหาฐานลูกค้ารายใหม่เพิ่มได้มากขึ้น ขณะที่ภาครัฐมีมาตรการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับตั้งแต่ต้นปี 60 ด้วย น่าจะช่วยสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทได้มาก
นายชนัตถ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าในปี 61 รายได้จากฐานการผลิตจะเติบโต 17% เพิ่มขึ้นเป็น 1.64 พันล้านบาท รายได้จากยอดขายการจัดจำหน่ายเติบโต 42% เพิ่มขึ้นเป็น 980 ล้านบาท และรายได้จากยอดขายร้านค้าปลีกเติบโต 12% เป็นราว 1.07 พันล้านบาท ซึ่งยอดขายจากต่างประเทศยังเป็นหลักราว 65% ที่เหลือเป็นยอดขายในประเทศ คาดตลาดสหรัฐจะเติบโต 8% อังกฤษ 40% ฝรั่งเศส 58% และอินเดีย 100%
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก อาทิ เงินบาทที่ยังแข็งค่า และเหตุการณ์ความไม่สงบในต่างประเทศที่อาจทำให้มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะสงคราม แต่อาจไม่กระทบต่อยอดขายของบริษัทในทุกเหตุการณ์
นายชนัตถ์ ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางในการนำบริษัทย่อย คือ พรีมาโกลด์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) แต่คาดว่ายังต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากขณะนี้ยังติดปัญหาที่สร้างรายได้ให้กับริษัทแม่ถึงกว่า 90%