นักวิเคราะห์ฯ คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่เป็นบวก ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ ก็เป็นปัจจัยหนุนให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานช่วยผลักดันดัชนี แต่ยังคงต้องระวังบริเวณแนวต้านจิตวิทยาที่ระดับ 1,800 และ 1,806 จุด ที่อาจจะมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่อง แต่มอง downside ยังจำกัด ขณะที่มูลค่าซื้อขายวันนี้อาจไม่คึกคักมากนักหลังตลาดต่างประเทศหลายแห่งเริ่มปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน โดยให้แนวต้านบริเวณ 1,800 และ 1,806 จุด ส่วนแนวรับที่ 1,786 และ 1,780 จุด
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้มีภาพเป็นบวกในทืศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเมื่อวานนี้ จากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯยังอยู่ในระดับสูง แต่ก็มีสิ่งผิดปกติที่ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยหนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังต้องระวังความผันผวนและแรงขายระยะสั้น ในบริเวณแนวต้านจิตวิทยาที่ 1,800 และ 1,806 จุด เนื่องจากยังมีแรงกดดันจาก Fund Flow ที่ยังขายสุทธิต่อเนื่องในตลาดหุ้นไทย และเริ่มเห็นแรงขายของกองทุนในประเทศออกมาด้วย แต่ด้าน downside ก็ยังจำกัดจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงานที่น่าจะยังช่วยประคองตลาดได้อยู่ ด้านมูลค่าซื้อขายในวันนี้คาดว่าจะไม่โดดเด่นมากนัก หลังจากที่เข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน
พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,786 และ 1,780 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,800 และ 1,806 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ก.พ.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,893.49 จุด เพิ่มขึ้น 253.04 จุด (+1.03%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,698.63 จุด เพิ่มขึ้น 35.69 จุด (+1.34%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,143.62 จุด เพิ่มขึ้น 130.10 จุด (+1.86%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 229.93 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 443.11 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 13.11 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 5.80 จุด และดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 5.60 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นไต้หวัน และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันตรุษจีน
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ก.พ.61) 1,792.09 จุด ลดลง 7.94 จุด (-0.44%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,902.40 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ก.พ.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ก.พ.61) ปิดที่ระดับ 60.60 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.41 ดอลลาร์ หรือ 2.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ก.พ.61) ที่ 7.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.33 กลับมาแข็งค่าในรอบ 51 เดือนหลังมีแรงเทขายดอลลาร์ทำกำไร
- ธปท.ออกประกาศฉบับใหม่กำหนดหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (แอลซีอาร์) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว โดยให้ธนาคารพาณิชย์เปิดเผยข้อมูลแอลซีอาร์ 3 รายการ ได้แก่ อัตราส่วนแอลซีอาร์ ปริมาณสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งสิ้น และประมาณการกระแสเงินสดไหลออกสุทธิใน 30 วัน พร้อมคำอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลแอลซีอาร์ และการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์บนเว็บไซต์ของธนาคารพาณิชย์เป็นรายครึ่งปี สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป เพราะเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดใช้ประเมินความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ ทั้งยังช่วยให้การเปิดเผยข้อมูลมีความโปร่งใสและมีมาตรฐานเดียวกับสากล
- 'เจวีซี' เปิดพรีเซลเจฟินคอยน์วันแรก 100 ล้านโทเคน ยอดจองซื้อพุ่ง 86% 'เจมาร์ท' ปลื้มผลตอบรับ ท่วมท้นสะท้อนความเชื่อมั่น ชูตัวอย่างมาตรฐานบริษัทที่ต้องการระดมทุนแบบไอซีโอ พร้อมร่อนหนังสือ ตลท.แจงความเสี่ยงชัดเจน ด้าน ก.ล.ต.ยัน 2 เดือนสรุปแนวทางดูแล
- ธ.ก.ส.เตรียมขยายวงเงินสินเชื่อเอสเอ็มอีเกษตรวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลา 3 ปี ข้างหน้า เริ่มตั้งแต่เมษายน 2561-31 มีนาคม 2564 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับโครงการปัจจุบัน 4% แต่สำหรับโครงการใหม่ จะขยายเพดานวงเงินสินเชื่อต่อรายเป็นไม่เกิน 20 ล้านบาท/ราย จากโครงการปัจจุบันที่กำหนด 10 ล้านบาท/ราย โดยโครงการนี้จะให้ระยะเวลากู้นานสุด 7 ปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4% เป็นเวลาสามปีแรก หลังจากปีที่สามจนถึงปีที่เจ็ด จะคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน ซึ่งจะเป็นอัตราผ่อนปรนเท่าไหร่นั้น คณะกรรมการธนาคารจะพิจารณาในภายหลัง
- กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% โดยเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 22 ของการประชุม ตั้งแต่ปี 2558 โดย กนง.มองว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อไปเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ด้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ จะส่งผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยไทยหรือไม่นั้น การตัดสินใจ นโยบายดอกเบี้ยของไทยจะพิจารณาปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามสหรัฐ
- บอร์ดบีโอไอหนุนการใช้ระบบดิจิทัลในการผลิต เพิ่มมาตรการส่งเสริมการลงทุน ยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงิน 50% กระตุ้นการลงทุนในท้องถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรครบวงจร
- บอร์ด กสทช.มีมติชะลอประมูลคลื่น 900-1800 MHz อีก 1-2 เดือนรอความชัดเจนเรื่องอำนาจจากกฤษฎีกา พร้อมลุยเน็ตประชารัฐ เฟส 2 จำนวน 15,000 หมู่บ้าน ไม่รอดีอี ส่วนมาตรการช่วยเหลือทีวีดิจิทัล เตรียมชง คสช.เคาะ ม.44 ช่วยผู้ประกอบการ ด้านเอกชนหวัง "พักหนี้-ลดค่าเช่าโครงข่าย" ต่อลมหายใจ เสนอพิจารณาเพิ่มทางออก "คืนใบอนุญาต" นำคลื่นประมูลโทรคมฯ ชี้รัฐได้ประโยชน์สูงกว่า
- SPRC (ไอร่า) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท คาดปี 61 กำไรสุทธิ 7,476 ล้านบาท ขณะที่โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นคาดจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 6.1% เป็น 175,000 บาร์เรลต่อวัน คาดเงินลงทุนประมาณ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2,310 ล้านบาท) แล้วเสร็จปลายปี 62 พร้อมกับการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ในรอบ 5 ปี ปัจจุบันยังไม่มีการลงทุนใหญ่จึงจ่ายเงินปันผลได้ในระดับสูง ประกอบกับภาระหนี้สินเริ่มลดลงมาเป็น Net Debt=0 คาดผลตอบแทนจากเงินปันผล 6.0%
- BTS (กสิกรไทย) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 9.40 บาท รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 60/61 (ต.ค.-ธ.ค.60) เติบโตแกร่งถึง 89.8% YoY และ 36.1% QoQ มาที่ 889 ล้านบาท ดีกว่ากสิกรไทยและตลาดคาดถึง 44% และ 38% ตามลำดับ จากรายได้จากงาน E&M รถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยายมากกว่าคาดและกำไรพิเศ 230 ล้านบาทจากเงินลงทุน กำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น YoY จากรายได้ 2.9 พันล้านบาทที่เพิ่มเข้ามาจากงาน E&M สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยาย ส่วนกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ QoQ จากรายได้ในส่วนของ E&M เช่นกันที่เติบโตถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ เชื่อว่าธุรกิจในกลุ่ม BTS จะเป็นผู้ได้ประโยชน์อย่างมากจากแผนพัฒนารถไฟฟ้าหลายสายจนถึงปี 66 จากประสบการณ์การบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวเกือบ 20 ปี และอุปสรรคในการเข้ามาของผู้เล่นใหม่ที่สูง
- SMPC (เออีซี) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 15.60 บาท ยังคงมองเชิงบวกด้วยแรงหนุน 1) แนวโน้มขาขึ้นของราคาเหล็กหนุนรับประโยชน์จากปริมาณขายถังแก๊สเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าเร่งสั่งออร์เดอร์เนื่องจากกลัวราคาแพงขึ้น บวกกับราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นตามนโยบายตั้งราคาด้วยวิธี Cost Plus (ราคาขาย=ต้นทุน+มาร์จิ้น) ดังนั้น เมื่อราคาวัตถุดิบเหล็กสูงขึ้น จะทำให้กำไรต่อถังแก๊สเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และ 2) ปีนี้ยังมีแผนขยายกำลังผลิตถังแก๊สเพิ่มเป็น 10.0 ล้านใบ จากปี 60 ที่ 8.2 ล้านใบ ดังนั้นจึงคงประมาณการเดิม โดยคาดปี 61 จะมีกำไรสุทธิ 639.3 ล้านบาท เติบโต 20.2% YoY