ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ค้าเหล็กไทย (TMT) ที่ระดับ "BBB"
อันดับเครดิตสะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและยาวนานในกลุ่มผู้ค้าเหล็กที่อยู่ในธุรกิจปลายน้ำ รวมถึงการมีสินค้าที่หลากหลาย ฐานลูกค้าที่แข็งแรง และความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งมีลักษณะเป็นวัฏจักร ราคาของวัตถุดิบที่ผันผวน การกระจุกตัวของผู้ขายวัตถุดิบ และความเสี่ยงด้านการปฏิบัติงานและการเงินที่น่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่บริษัทกำลังเติบโต
สถานะทางธุรกิจของบริษัทสะท้อนถึงการเป็นผู้นำในการให้บริการด้านเหล็กอย่างครบวงจร (Steel Solution Provider) บริษัทมีขนาดของรายได้ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มคู่แข่งที่จดทะเบียน และอยู่ในธุรกิจปลายน้ำด้วยกัน
นอกจากบริษัทจะจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับเหล็กแล้ว บริษัทยังมีบริการให้คำปรึกษาและเสนอวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยให้การปฏิบัติงานของลูกค้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ความเข้มแข็งทางธุรกิจของบริษัทนั้นมาจาก การที่ทีมผู้บริหารมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี และมีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความพร้อมในการจัดจำหน่ายสินค้า การส่งสินค้าที่ยืดหยุ่นและตรงเวลา รวมถึงต้นทุนการผลิตที่สามารถแข่งขันได้ กลยุทธ์ทางการตลาดซึ่งให้ความสำคัญต่อความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ยาวนาน และส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 287,000 ตันในปี 2554 เป็น 649,000 ตันในปี 2559 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตทบต้นที่ 17.7% ต่อปี
ทริสเรทติ้งให้อันดับเครดิตโดยพิจารณาถึงการมีสินค้าที่หลากหลายของบริษัท โดยครอบคลุมทั้งสินค้าเหล็กชนิดแบนเหล็กชนิดยาว รวมไปถึงสินค้าที่สั่งทำเฉพาะ การมีสินค้าที่หลากหลายนั้นช่วยให้บริษัทสามารถเป็น One-stop Steel Supplier และสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้หลายอุตสาหกรรม ลูกค้าของบริษัทประกอบไปด้วย ผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้รับแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก และผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ บริษัทยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปยังผู้ค้าส่ง ซึ่งช่วยกระจายสินค้าไปทั่วประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายให้แก่ผู้ค้าส่งและตัวแทนจำหน่ายคิดเป็นประมาณ 42% ของรายได้รวม ในขณะที่อีก 30% มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง และ 9% มาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงคุณภาพลูกหนี้ที่ดีของบริษัทอีกด้วย
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทสูงกว่าและมีเสถียรภาพมากกว่าคู่แข่ง โดยสะท้อนถึงมูลค่าเพิ่มที่บริษัทได้รับจากการให้บริการ และความสามารถในการลดผลกระทบจากความผันผวนของเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (Hot Rolled Coil -- HRC) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญ ของบริษัท นอกจากนี้ เพื่อให้อัตรากำไรมีเสถียรภาพ บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ การหมุนเวียนสินค้าให้รวดเร็ว และนโยบายการตั้งราคาที่ไม่เก็งกำไรบนราคาของ HRC โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ระหว่าง 8%-9% โดยสูงสุดที่ 13.7% และต่ำสุดที่ 7.1%
อันดับเครดิตของบริษัทถูกลดทอนจากลักษณะของอุตสาหกรรมที่เป็นวัฏจักรเนื่องจากความต้องการของสินค้าเหล็กนั้นอิงกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและการผลิต ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่าบริษัทจะพิสูจน์ให้เห็นว่าบริษัทมีความอ่อนไหวต่อราคาของ HRC น้อย ไม่เหมือนกับคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ยังคงได้รับผลกระทบหากราคาเหล็กลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญกับความเสี่ยงจากผู้ขายวัตถุดิบ เนื่องจากในประเทศไทยมีผู้จำหน่ายเหล็ก HRC รายใหญ่เพียง 3 รายเท่านั้น
บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 795,400 ตันต่อปีเป็น 1 ล้านตันต่อปีภายในปี 2563 โดยการขยายกำลังการผลิตใช้เงินทุนทั้งสิ้นจำนวน 820 ล้านบาท โดยเงินลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะใช้เงินกู้ใหม่บางส่วนซึ่งจะส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงในขณะดำเนินการขยายกำลังการผลิต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งมองว่าความสำเร็จในการเพิ่มกำลังการผลิตจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ทั้งในด้านสถานะธุรกิจและตำแหน่งการตลาดของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและด้านการเงินน่าจะสูงขึ้นระหว่างขยายกำลังการผลิต เนื่องจากบริษัทจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการเตรียมทรัพยากรที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น จำนวนบุคลากรที่เพียงพอ คลังสินค้าขนาดใหญ่ และเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น
ภาระหนี้เงินกู้ทั้งหมดของบริษัทเป็นเงินกู้ระยะสั้น บริษัทมีเงินกู้ ณ เดือนกันยายน 2560 รวมทั้งสิ้น 3,800 ล้านบาท ความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้านั้นต่ำเนื่องจากบริษัทมีลูกหนี้การค้าและสินค้าคงคลังมูลค่ารวม 4,100 ล้านบาทและยังมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้ใช้อีกจำนวน 5,400 ล้านบาท อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงจาก 39.5% ในปี 2559 เหลือ 23.5% ใน 9 เดือนแรกของปี 2560 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวถือว่ายังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ การลดลงของอัตราส่วนดังกล่าวเกิดจากเงินกู้ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยอดขายที่เพิ่มขึ้นของบริษัทในปี 2560
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดและความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าคู่แข่งไว้ได้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงจัดการเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทได้อย่างรอบคอบ และยังคงระเบียบวินัยในการตั้งราคาสินค้า ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า ในระหว่างปี 2561-2563 ยอดขายของบริษัทจะโตประมาณ 5%-7% ต่อปี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้คิดเป็นเปอร์เซนต์โดยเฉลี่ยจะอยู่ในช่วง 6%-7% กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานจะเฉลี่ยอยู่ที่ 800 ล้านบาทต่อปี ในช่วงขยายกำลังการผลิต สภาพคล่องน่าจะอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมน่าจะมากกว่า 18%
อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจจะปรับขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีกว่าที่คาดไว้ หรือตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทนั้นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากการขยายกำลังการผลิต ในขณะเดียวกันอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจจะถูกปรับลดลงได้ถ้าผลการดำเนินงานด้อยกว่าที่ประมาณการจนส่งผลกระทบต่ออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอย่างมาก แรงกดดันด้านลบต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้จากการลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้เป็นหลักหรืออาจเกิดจากความต้องการสินค้าในประเทศลดลงเป็นระยะเวลานาน