หุ้น MAJOR ราคาร่วงลง 5.17% มาอยู่ที่ 27.50 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 96.72 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.12 น. โดยเปิดตลาดที่ 28.25 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 28.25 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 27.25 บาท
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯกำลังอยู่ระหว่างการทบทวนราคาเป้าหมายปี 61 ของ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) ภายหลังจากที่กำไรสุทธิใน Q4/60 อยู่ที่ 75 ล้านบาท (-75% QoQ, -12% YoY) จากรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ชะลอตัว จึงมองว่าธุรกิจมีแนวโน้มสดใสมากขึ้นในปี 61 จากจำนวนหนังรอเข้าฉายที่เพิ่มขึ้น และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนการบริโภค รวมถึงรายได้จากหนัง และยอดโฆษณาในโรงหนัง แต่คาดว่าจะต้องปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของ MAJOR ในปี 61 ลงอีกเพื่อสะท้อนถึงต้นทุนที่สูงเกินคาดในปี 60
กำไรสุทธิของ MAJOR ใน Q4/60 อยู่ที่ 75 ล้านบาท (-75% QoQ, -12% YoY) ต่ำกว่าที่ตลาดคาดถึง 55% โดยกำไรสุทธิในปี 60 ทรงตัวจากปี 59 อยู่ที่ 1.19 พันล้านบาท บริษัทประกาศจ่ายปันผลงวด H2/60 ที่ 0.60 บาทต่อหุ้น (กำหนดขึ้น XD วันที่ 19 เมษายน 61)
ทั้งนี้ กำไรที่ลดลงอย่างมาก QoQ ใน Q4/60 เป็นผลมาจากรายได้ที่ลดลง 16% QoQ จากการชะลอตัวของรายได้จากธุรกิจโรงภาพยนตร์ ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 32.4% ใน Q3/60 เหลือแค่ 28.7% ตามฐานรายได้ที่ลดลง และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร/ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 27.3% ใน Q3/60 เป็น 34.3% เนื่องจากมีการตัดบัญชีลูกหนี้บางส่วนของธุรกิจสื่อภาพยนตร์เป็นหนี้สูญ เมื่อเทียบ YoY กำไรสุทธิใน Q4/60 ถูกกดดันจาก รายได้ที่ลดลง 2% YoY และอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงจาก 31.4% ใน Q4/59 เหลือแค่ 28.7%
อย่างไรก็ดี มองว่าธุรกิจมีแนวโน้มสดใสมากขึ้นในปี 61 โดยปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนกำไรของ MAJOR ในปีนี้ได้แก่ จำนวนหนังรอเข้าฉายที่เพิ่มขึ้น ทั้งหนังจากฮอลลีวู้ดและหนังไทยซึ่งถูกเลื่อนฉายจาก Q4/60 มาฉายปีนี้แทน, จำนวนหนังไทยที่เพิ่มขึ้นน่าจะดึงดูดผู้ชมจำนวนมากได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัดเนื่องจาก MAJOR มีจำนวนโรงฉายในต่างจังหวัดมีมากกว่าในกรุงเทพและปริมณฑลแล้ว และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนการบริโภค รวมถึงยอดขายตั๋ว, ยอดขายเครื่องดื่ม/ขนมขบเคี้ยว และยอดโฆษณาในโรงภาพยนตร์