นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยถึงมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทในงานสัมมนา "KAsset Investment Forum 2018: Strategy for all seasons" ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2561 ยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคขยายตัวไปในทิศทางเดียวกันชัดเจนขึ้น ส่งผลบวกต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้น ทำให้ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นยังเป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจมากกว่าตราสารหนี้ อย่างไรก็ตามจากราคาหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา จึงคาดว่าแนวโน้มในปี 2561 ตลาดอาจไม่ได้ปรับตัวขึ้นแรงเหมือนในปี 2560 และบรรยากาศในการลงทุนภาพรวมน่าจะมีความผันผวนมากขึ้น
"ระดับราคาหุ้นในภาพรวมที่ซื้อขายในระดับที่เริ่มแพง รวมถึงแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดตามแนวโน้มเงินเฟ้อที่เร่งตัว อาจมีความเสี่ยงทำให้สินทรัพย์ทั่วโลกเผชิญกับแรงเทขายในระยะสั้น ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น"นายวศิน กล่าว
นายวศิน กล่าวว่า อย่างไรก็ตามพื้นฐานทางเศรษฐกิจโลกในภาพรวมไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงและยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี ซึ่งการปรับฐานลงของหลาย ๆ ตลาดอาจเป็นจังหวะที่ดีในการอาศัยเข้าลงทุนเพิ่มเติมเพื่อการลงทุนในระยะยาว บลจ.กสิกรไทยจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ ซึ่งเป็นบลจ.ชั้นนำระดับโลก ได้แก่ BlackRock, J.P. Morgan, Fidelity และ Lombard Odier ร่วมนำเสนอมุมมองและกลยุทธ์การลงทุน รวมถึงการแนะนำผลิตภัณฑ์กองทุนที่เหมาะสม เพื่อนำเสนอเป็นพอร์ตการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะได้ในทุกๆ สภาวะตลาด ซึ่งหัวใจสำคัญคือการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์อย่างเหมาะสม (Asset Allocation) เพื่อช่วยควบคุมหรือลดความเสี่ยงโดยรวม และต้องมีการปรับพอร์ตให้มีความสอดคล้องกับการลงทุนในทุกๆ สถานการณ์
การจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมจะคำนึงถึงความต้องการและตอบโจทย์ต่อลูกค้า 2 กลุ่มหลัก โดยกลุ่มแรกคือลูกค้าที่ลงทุนผ่านผู้ดูแลและให้คำปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์ส่วนบุคคล (RM) ซึ่งจะคอยทำหน้าที่แนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย โดยนำเสนอ 4 กองทุนที่คัดเลือกมาให้แล้ว เพื่อนำมาจัดสรรสัดส่วนให้กับลูกค้า ได้แก่ กองทุน K-GINCOME ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูงทั้งในรูปดอกเบี้ยหรือเงินปันผล
กองทุน K-SGM ซึ่งมีนโยบายกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกโดยจัดสรรสัดส่วนการลงทุนตามความเสี่ยงของสินทรัพย์ (Risk Based Allocation), กองทุน K-CHINA ซึ่งมีนโยบายลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในประเทศจีน (A-Share) และฮ่องกง (H-Share) และกองทุน K-ART ซึ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ Market Neutral Strategy ผ่านการลงทุนโดยใช้ตราสารอนุพันธ์ (synthetic long / synthetic short) เพื่อลดความเสี่ยงด้านตลาดของหุ้นที่ลงทุน โดยทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนผ่านกองทุนหลักต่างประเทศซึ่งบริหารจัดการโดย 4 บลจ.ชั้นนำที่เป็นพันธมิตรของบลจ.กสิกรไทย
ด้านผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ถึง ณ วันที่ 29 ธ.ค.60 กองทุน K-GINCOME-A(R) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.84%, K-SGM ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.79% และ K-CHINA ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 37.09% และยังเป็นกองทุนที่ได้รับเรตติ้ง 5 ดาวจากมอร์นิ่งสตาร์ (Morningstar® Overall Rating ของกลุ่ม Thailand OE China Equity, ข้อมูล ณ 31 ม.ค.2561) ส่วน K-ART ซึ่งเป็นกองทุนที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 60 โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -1.11% (ข้อมูล ณ 31 ม.ค.2561)
ลูกค้ากลุ่มที่สองจะเป็นการแนะนำพอร์ตการลงทุนสำหรับลูกค้ารายย่อยทั่วไป โดยนำเสนอผ่านกองทุนในกลุ่ม K-FIT ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมทั้งในและต่างประเทศ (Fund of Funds) ที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ และ/หรือสินทรัพย์ทางเลือก โดยจะลงทุนในกองทุนรวมภายใต้การบริหารของบลจ.กสิกรไทย ในสัดส่วนที่แตกต่างกันตามระดับความเสี่ยงและเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวัง 4 ระดับ ได้แก่ กองทุน K-FITS, K-FITM, K-FITL และ K-FITXL โดยคาดหวังผลตอบแทนเฉลี่ยซึ่งอ้างอิงกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 3.0% ต่อปี, 5.5% ต่อปี, 7.5% ต่อปี และ 10% ต่อปี ตามลำดับ
จุดเด่นของกองทุนในกลุ่ม K-FIT คือการกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทโดยมีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่คัดเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม พร้อมพิจารณาปรับสัดส่วนให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะตลาด จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามสถานการณ์ด้วยตนเอง และยังสามารถลงทุนได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชัน K-My Funds ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือนที่ปรึกษาส่วนตัวด้านกองทุนรวม ทั้งนี้กลุ่มกองทุนดังกล่าวเพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 60 โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือนของกองทุน K-FITS, K-FITM, K-FITL และ K-FITXL ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 1.33%, 2.90%, 3.89% และ 5.79% ตามลำดับ โดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 0.75%, 1.40%, 1.91% และ 2.55% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 31 ม.ค.2561)
นายวศิน กล่าวว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าการจัดพอร์ตลงทุนตามกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอในทุกๆสภาวะตลาดได้ เนื่องจากกองทุนที่คัดเลือกมาได้ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ พร้อมทั้งการติดตามประเมินผลดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ และมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจมากที่สุด