นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการประจำปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวมเติบโตแข็งแกร่งอยู่ที่ 8,438 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 เมื่อเทียบปีต่อปี เป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจ รายได้จากธุรกิจ PET เติบโตร้อยละ 12 ธุรกิจเส้นใยและธุรกิจวัตถุดิบเติบโตร้อยละ 15 และ 28 ตามลำดับ กำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) เติบโตร้อยละ 30
ในขณะที่ปริมาณการผลิตเติบโตร้อยละ 4 สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องใน 3 มิติในเรื่องส่วนประสมของกลุ่มผลิตภัณฑ์ การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์และคุณภาพของกำไรโดยรวม อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง อยู่ที่ร้อยละ 16.5 เมื่อเทียบกับร้อยละ 12.5 ในปี 2559 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 อยู่ที่ 918 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรสุทธิหลักหลังหักภาษีเงินได้และส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (Core Net Profit after Tax and NCI) อยู่ที่ 459 ล้านเหรียญสหรัฐ โตร้อยละ 68 เมื่อเทียบปีต่อปี กำไรสุทธิที่สอบทานแล้วอยู่ที่ 615 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับโครงสร้างภาษีในสหรัฐ
"ปี 2560 นับเป็นปีที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับอินโดรามา เวนเจอร์สในหลายด้าน เราบรรลุเป้าหมายในหลายส่วนภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดีเพื่อสังคม ผลการดำเนินงานเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์การเติบโต ตลอดจนความหลากหลายของกลุ่มผลิตภัณฑ์และภูมิศาสตร์ เป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ ทำสถิติกำไรสูงสุดอยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผลจากการทำงานร่วมกันของบุคลากรของเราทั่วโลกกว่า 15,000 คน"นายโลเฮียกล่าว
การปรับโครงสร้างที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมจากผู้ผลิต PET ชั้นนำ 2 รายในตลาดหลักในอเมริกาและยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกาในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของภาพรวมธุรกิจ PET และเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตที่มีความมุ่งมั่นและมีการบริหารจัดการที่ดีอย่างอินโดรามา เวนเจอร์ส ในการสร้างความเชื่อมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า บริษัทฯ เชื่อว่า โมเดลทางธุรกิจที่มีการผลิตกระจายตัวในระดับภูมิภาค จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรักษาความเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และช่วยขยายนวัตกรรมระดับโลก
ในปี 2560 อินโดรามา เวนเจอร์ส มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาธุรกิจมูลค่าเพิ่ม (HVA) ด้วยการเข้าซื้อธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง การเข้าซื้อบริษัท Glanzstoff ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางในรถยนต์และและเส้นด้ายเสริมแรงสำหรับยางในรถยนต์ชั้นนำในยุโรป ช่วยพัฒนาและขยายส่วนประสมกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ให้กว้างขึ้น ครอบคลุมเรยอน เพิ่มเติมจากเส้นใย โพลีเอสเตอร์ โพลีโพรพิลีน และไนลอน 6.6 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเสร็จสิ้นการเข้าซื้อบริษัท DuraFiber ในประเทศเม็กซิโกและฝรั่งเศส ผู้ผลิตด้านสิ่งทอเทคนิคที่มีความแข็งแกร่งสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์สำหรับเสริมแรงยางรถยนต์และการใช้งานพิเศษอื่นๆ ชั้นนำระดับโลก การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ HVA จากการเพิ่มผลิตภัณฑ์สิ่งทอสำหรับยางในรถยนต์ในอเมริกาเหนือและยุโรปดังกล่าว เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคตและเสริมสร้างอินโดรามา เวนเจอร์ส ในฐานะพันธมิตรด้านเส้นใยสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์
อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้โดยรวม (อัตราส่วนหนี้สินจากการดำเนินงานสุทธิต่อทุน) อยู่ที่ 0.54 เท่า ลดลงอย่างมาก คิดเป็นร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นและมีความแข็งแกร่งของเงินทุน เพื่อนำไปใช้ในธุรกิจในตลาดและผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความสามารถหลักของบริษัทฯ
โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2561 ได้แก่ โครงการก๊าซแครกเกอร์ในสหรัฐ กำลังการผลิต 450,000 ตัน โรงงานผลิต PTA ในประเทศโปรตุเกส กำลังการผลิต 700,000 ตันและโครงการขยายการผลิตเส้นใยสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศจีน นอกจากนี้บริษัทฯ เสร็จสิ้นโครงการขยายกำลังการผลิตหลายโครงการในปี 2560 ซึ่งช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตและกำไรในปี 2561 และ 2562
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับกำไรจากการดำเนินงานต่อหุ้น (Core EPS) ที่เติบโตร้อยละ 63 คณะกรรมการบริษัท อนุมัติการจ่ายเงินปันผลที่ 0.55 บาทต่อหุ้น ซึ่งเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลครั้งแรกที่ 0.45 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลในปีนี้อยู่ที่ 1.00 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องในผลการดำเนินงานและแนวโน้มการเติบโต
"เราอยู่บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงและสร้างองค์ประกอบ เพื่อการเติบโตทางกำไรอย่างยั่งยืนและเพื่อสร้างตำแหน่งที่เป็นเอกลักษณ์ ในปี 2560 เราได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์เป็นครั้งแรก และ ติดอันดับ 1 ใน 5 บริษัทเคมีภัณฑ์ระดับโลก เราได้ยกระดับความสำเร็จของบริษัท และความท้าทายจากนี้ไปสำหรับเรา คือ การรักษาการเติบโตนี้อย่างต่อเนื่อง นี่นับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา สำหรับอนาคตและเส้นทางข้างหน้า" นายโลเฮีย กล่าว