นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าส่วนงานวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะหลุดแนว 1,800 จุด ซึ่งทิศทางวันนี้คงเป็นลักษณะ Sideway Down เนื่องจาก Sentiment ตลาดบ้านเราในช่วงปลายตลาดเมื่อวานนี้ไม่ค่อยดี และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็แกว่งทั้งในแดนบวก-ลบไม่มาก หลังจากที่ดาวโจนส์ปรับตัวลงไปมากราว 1%
อย่างไรก็ดี ตลาดฯไม่น่าจะปรับตัวลงลึก เนื่องจากยังมีผลประกอบการของหุ้นขนาดใหญ่ช่วยประคองดัชนีฯอยู่ อย่าง PTT, IVL ที่งบฯออกมาดีน่าจะช่วยพยุงตลาดฯ พร้อมให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป และให้ติดตามรายงานผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งก่อนด้วย
พร้อมให้แนวรับ 1,790 จุด ส่วนแนวต้าน 1,800 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 ก.พ.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,964.75 จุด ลดลง 254.63 จุด (-1.01%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,716.26 จุด ลดลง 15.96 จุด (-0.58%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,234.31 จุด ลดลง 5.16 จุด (-0.07%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 17.32 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 176.89 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 138.70 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.61 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 2.19 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.48 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 45.19 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันตรุษจีน
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 ก.พ.61) 1,801.02 จุด ลดลง 8.65 จุด (-0.48%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,014.34 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 ก.พ.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 ก.พ.61) ปิดที่ระดับ 61.90 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 ก.พ.61) ที่ 7.28 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.50 ทรงตัวจากวานนี้ รอตัวเลขส่งออก-นำเข้าของไทย, รายงานประชุม FOMC
- ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกประกาศผ่อนผันหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทในช่วงนี้ที่กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำลังเปลี่ยนแปลงรอบระยะเวลาส่งมอบชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ จากเดิมทีบวก 3 คือหลังวันซื้อขาย 3 วัน เหลือทีบวก 2 หรือหลังวันซื้อขาย 2 วัน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและลดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงานวันที่เปลี่ยนแปลงระยะเวลาส่งมอบ
- ธนาคารพาณิชย์ สนใจตั้งแบงกิ้งเอเยนต์ มองเกณฑ์ธปท.ที่เปิดกว้างมากขึ้นเป็นโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า แต่ยังเร็วไปที่จะตัดสินใจ เพราะต้องดูควบคู่กับแผน เรื่องสาขา และแนวโน้มการทำธุรกรรมผ่านสาขา ชี้พฤติกรรมลูกค้าเป็นตัวตัดสินว่าจะตั้งแบงกิ้งเอเยนต์หรือไม่
- กระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ พพ.พิจารณาสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อรองรับกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เกิดขึ้นในภาคใต้ตามแผน ล่าสุด พพ.มอบหมายให้มหาวิทยาลัยศิลปากรตรวจสอบศักยภาพของเชื้อเพลิงชีวมวลพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนใต้อีกครั้งว่ามีปริมาณมากน้อยเพียงใดที่จะสนับสนุนให้เกิดการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากข้อมูลเดิมได้มีการตรวจสอบไว้ตั้งแต่ปี 57-58 ซึ่งนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังาน มีนโยบายรองรับโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งการวางระบบสายส่งไปยังภาคใต้ การเพิ่มโรงไฟฟ้าชีวมวลใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ อีก 200-300 เมกะวัตต์
- นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดี ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะเติบโต 10% หรือมีมูลค่ากว่า 15,000-16,000 ล้านบาท
- คลังเตรียมดัน 3 กรมภาษี เป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ "SARA" หวังเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บลดต้นทุนการดำเนินงาน ดันรายได้จากภาษีขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต
*หุ้นเด่นวันนี้
- PCSGH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 13 บาท โดยมีงบ Q4/60 เป็นปัจจัยหนุนระยะสั้น และการผลิตชิ้นส่วน EV เป็นรายแรกในประเทศเป็นปัจจัยหนุนระยะยาว ส่วนปันผลเฉพาะ H2/60 คาด 2% (ทั้งปี 4%) โดยได้รับจิตวิทยาการลงทุนเชิงบวกจาก ผลประกอบการของ Q4/60 ของ STANLY และ SAT ออกมาดี จึงคาดกำไรสุทธิ Q4/60 ของ PCSGH ที่ 166 ลบ. +20% Y-Y จากยอดผลิตรถยนต์ที่ +9% Y-Y และสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นของกลุ่ม Non-Auto ซึ่งมีอัตรากำไรสูง ด้านเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าเป็นบวกต่อกลุ่มยานยนต์ เพราะสัดส่วนการผลิตรถยนต์ในประเทศราว 60% คือการผลิตเพื่อส่งออก
- PSH (ทรีนีตี้) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 25.65 บาท จากระยะเวลาการก่อสร้างเร็วขึ้น ส่งผลให้การรับรู้รายได้เร็วขึ้นเช่นกัน, ปรับมาเน้นโครงการระดับบนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจาก Rejection rate และมียอดขายที่สูงกว่าคาด โดยที่โครงกากลุ่ม Premium จะเริ่มรับรู้เป็นรายได้ในปี 62, ลดจำนวนแบรนด์จาก 48 แบรนด์เป็น 14 แบรนด์หลัก เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการทำ Branding และประกาศจ่ายเงินปันผล 2H60 ที่ 0.72 บาท/หุ้น และขึ้น XD 8 มี.ค.61
- SPALI (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 30 บาท มองว่า ฐานกำไรยังแข็งแกร่งแม้ในปี 61 จะมี Dilution จาก warrant ที่ SPALI-W4 แต่เป็นจังหวะของการเข้าลงทุนหุ้นได้เนื่องจาก H1/61 จะเป็นช่วงของการเริ่มกลับมาจ่ายเงินปันผลหลังจากเว้นไปในปี 60 ทั้งนี้รายงานรายได้ปี 60 ที่ 25,020 ล้านบาท (+7.2% YoY) ใกล้เคียงกับคาดที่ 24,932 ล้านบาท รวมทั้งอัตราการทำกำไรขั้นต้นที่ 38% และค่าใช้จ่าย SG&A ที่ 11.7% ใกล้เคียงคาดทำให้กำไรสุทธิทำ New Record High ตามคาดที่ 5,812 ล้านบาท (+19% YoY) ใกล้กับที่คาดที่ 5,702 ล้านบาท โดยใน Q4/60 ทำกำไรสุทธิได้ที่ 1,703 ล้านบาท