นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงป้ายอดขายปี 61 เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% จากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 4.18 พันล้านบาท และรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 25-27% หลังเริ่มมีสัญญาณความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดขายในไตรมาส 1/61 คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาส 4/60
และยังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปีนี้ตามทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจากการดำเนินนโยบายการลงทุนของภาครัฐและการลงทุนของเอกชนที่ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น และสนับสนุนต่อภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างในปีนี้ที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีที่สุดในรอบ 3 ปี ซึ่งคาดว่าตลาดรวมจะเติบโต 5%
ขณะเดียวกันบริษัทยังจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นในปีนี้มาอยู่ที่ 1.1 ล้านตัน/ปี จากปีก่อนที่มีกำลังการผลิต 982,000 ตัน/ปี ซึ่งสามารถช่วยผลักดันให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและรองรับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดโครงการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการแนวราบ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท โดยกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นลูกค้าหลักของบริษัท ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) จากลูกค้าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 108 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายสาขาของช่องทางการจัดจำหน่ายโมเดิร์นเทรดที่ปัจจุบันขายผ่านทางร้านโกลบอลเฮ้าส์ ไทวัสดุ และเมก้าโฮม ซึ่งปัจจุบันมีสาขาที่วางขายสินค้าของบริษัททั้งหมด 110 สาขา และจะเปิดเพิ่มอีก 18 สาขาในปีนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปโดยหันมาเลือกซื้อสินค้าภายในร้านขนาดใหญ่ที่มีผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างให้เลือกครบครัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าแบรนด์ ‘ตราเพชร’ ผ่านช่องทางดังกล่าว โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 16% ของยอดขายรวม
ส่วนแผนงานขยายตลาดต่างประเทศนั้น ได้วางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของยอดขายรวม จากปีก่อนที่ 17% ตามแผนดำเนินงาน 3 ปี (59-61) โดยตลาดหลักยังคงเป็นกลุ่ม CLMV ได้แก่ ประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาและเวียดนาม โดยเฉพาะประเทศเมียนมานั้น DRT มีแผนรุกตลาดมากยิ่งขึ้นหลังจากที่จัดตั้งทีมงานฝ่ายขายในพื้นที่เพื่อดูแลการขายโดยตรง เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดีและยังมีความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างเพื่อการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอีกมาก
อีกทั้งทางโกลบอลเฮ้าส์และไทวัสดุมีแผนขยายสาขาไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลใหมบริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยทางโกลบอลเฮ้าส์จะขยายสาขาไปในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาในเดือน พ.ค.นี้ และไทวัสดุ จะขยายไปมาเลเซียช่วงปลายปี 61
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Full Product Full Service เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมด้านสินค้าที่มีความหลากหลายภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ ทั้งผลิตภัณฑ์กลุ่มหลังคาพร้อมโครงหลังคาสำเร็จรูป กลุ่มไม้สังเคราะห์และอิฐมวลเบา รวมถึงมีทีมช่างมืออาชีพพร้อมให้บริการเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขัน โดยนำผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง ‘ตราเพชร’ มาพัฒนาต่อยอดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รองรับแผนขยายตลาดกลุ่มลูกค้าโครงการทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทรับสร้างบ้านและลูกค้าภาคราชการที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
พร้อมกับออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 4 ชนิด ได้แก่ หลังคาจตุลอนลายไม้ ไม้พื้น รุ่นที-คลิป ไม้รั้ว สีน้ำตาลอินทนิน และไม้ตกแต่งเซาะร่อง รุ่นทรู คัลเลอร์ ซึ่งจะมาเสริมยอดขายของบริษัท ประกอบกับการผลักดันยอดขายของหลังคาคอนกรีตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการอสังหบริททรัพย์เริ่มหันมาใช้หลังคาคอนกรีตมากขึ้น ทดแทนหลังไฟเบอร์
"เราประเมินว่าตลาดวัสดุก่อสร้างปีนี้มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ในภาวะทรงตัว อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้รอปัจจัยภายนอกเข้ามาสนับสนุน แต่ได้ปรับแผนและพัฒนากลยุทธ์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่จะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มหลังคาคอนกรีตและกลุ่มไม้สังเคราะห์จะมีอัตราการเติบโตที่ดีและช่วยผลักดันเป้าหมายของเราในปีนี้ให้ขยายตัวได้ตามแผนที่วางไว้" นายสาธิต กล่าว
สำหรับงบลงทุนรวมในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 270 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิต และตั้งงบการตลาดในปีนี้อยู่ที่ 5% ของยอดขายทั้งหมด อีกทั้งบริษัทยังต้องมีการควบคุมต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาขายสินค้าในภาวะที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนราคาวัตถุดิบของบริษัท ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทมี Product Mix ที่หลากหลายทำให้การปรับราคาขายยังไม่ได้มีการปรับเพิ่ม และยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าไว้ได้ ทำให้บริษัทมั่นใจว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะรักษาได้ที่ 27% ตามเป้าหมาย
ด้านภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 60 บริษัทมีรายได้รวม 4,184.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.57% เทียบกับช่วงดียวกันของปีก่อนและมีกำไรสุทธิ 411.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.99% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา